ล้วนเป็นยอดหลิงซื่อกันทั้งนั้น!
ไม่แปลกใจเลยว่าการแข่งขันก่อนหน้านี้ เจียงหลีใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถปราบศัตรูได้แล้ว
พอเห็นพลังอำนาจเหนือท้องนภา ในที่สุดฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ
แท้จริงแล้ว หญิงสาวที่ดูอ่อนกว่าเพียงไม่กี่ปี ได้ก้าวไปถึงขั้นสูงสุดของระดับหลิงซื่อแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขานึกว่าหญิงสาวผู้นี้พูดจาโอ้อวด ไร้ยางอายสิ้นดี!
บัดนี้ ผู้ที่ไร้ยางอายสมควรเป็นพวกเขาเสียมากกว่า
ผู้คนที่เฝ้าติดตามเจียงหลีมาตั้งแต่เริ่มต้น ต่างรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณแก้มไปชั่วขณะ
บนสังเวียน เจียงหลีและไป๋หลี่เฟิ่งล้วนเป็นยอดหลิงซื่อและต่างปล่อยวิญญาณยุทธ์เป็นครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชน
รอบๆ สังเวียนแห่งนี้ ดึงดูดอาจารย์และลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งหนานอู๋เฮิ่นและเฟิงสิงอวิ๋นมิได้เข้าใกล้สังเวียนมากนัก พวกเขายืนมองจากระยะไกล ไม่แม้แต่จะทำให้ผู้คนแตกตื่นเลยสักคน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเงาคนมายืนอยู่ข้างๆ หลายคน พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นเจ็ดวีรบุรุษที่โดดเด่นของสถาบันแห่งนี้
พอพบเจอกับหนานอู๋เฮิ่นและเฟิงสิงอวิ๋นแล้ว พวกเขาต่างเรียกกันในฐานะพี่น้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
สมาชิกของเจ็ดวีรบุรุษ มีจำนวนห้าคนที่ยังอยู่ที่สถาบันแห่งนี้ โดยมิได้มีใครเดินเข้าไปใกล้เลย แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนสังเวียนกลับปิดพวกเขาไว้ไม่ได้
“พี่ใหญ่ นี่คือคนที่พี่เลือกในครั้งนี้หรือ พี่เป็นคนที่พิถีพิถันที่สุดในบรรดาพวกเราแล้ว ถึงขั้นยอมขาดดีกว่าได้คนด้อยคุณภาพ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้พี่จะเลือกไว้ถึงสองคน” เหล่าซื่อยิ้มกล่าว
หนานอู๋เฮิ่นนิ่งเฉย แล้วมองไปที่บุคคลทั้งสองบนสังเวียนแล้วกล่าวว่า “รักในความสามารถอย่างแรงกล้า”
…
บนสังเวียน พลังวิญญาณที่ปะทะกัน วิญญาณยุทธ์ที่ต่อสู้กันทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
การกระเพื่อมของพลังวิญญาณแพร่กระจายไปยังบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็วจนทำลายก้อนอิฐบนสังเวียน พร้อมกับทำให้ผู้คนที่เดิมทีถอยห่างออกไปแล้ว ต่างตกใจกลัวจนต้องถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว
“พลังอำนาจนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
“นี่คือพลังของหลิงซื่อจริงๆ หรือ”
“ข้ารู้สึกว่าหากพวกเขาจะต่อสู้กับหลิงเจี้ยง ก็มิเห็นว่าจะเสียเปรียบอะไรเลย!”
“…”
การวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ได้ผุดขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่มุงดูอยู่
ขณะที่ ควันมอดมลายไปหมดแล้ว ทั้งสองที่อยู่บนสังเวียนยังคงจ้องมองหน้ากันอย่างตั้งใจ ดวงตาของพวกเขาเหมือนไฟที่กำลังลุกโหมมุ่งมั่นที่จะต่อสู้และอดทนรอการท้าประลองครั้งนี้ไว้ไม่ไหวแล้ว ในเวลาเดียวนี้เองพวกเขาทั้งสองคนต่างเคลื่อนตัวพุ่งเข้าหากัน
ฮึ่มมม!
ฟิ้ววว!
เลี่ยเทียนชื่อที่อยู่ด้านหลังของทั้งสอง เงาลวงตาของชิงเฟิ่ง ต่างเริ่มปะทะกันอย่างดุเดือดกลางเวหา
กรงเล็บอันแหลมคมของเลี่ยเทียนซื่อต้องการฉีกชิงเฟิ่งออกเป็นชิ้นๆ ส่วนชิงเฟิ่งก็มิได้แสดงความอ่อนแอใดๆ ออกมาให้เห็น ปีกที่กางออกนั้นขดตัวในสายลมเพื่อต้านทานการโจมตีอันเ**้ยมโหดของเลี่ยเทียนซื่อ และกรงเล็บที่แหลมคมคู่นี้ก็เข้าโจมตีเลี่ยเทียนซื่อด้วยเช่นเดียวกัน
การต่อสู้ของวิญญาณยุทธ์กลางเวหา ทำให้ทุกคนถึงกับประหลาดใจ
และการท้าประลองระหว่างเจียงหลีและไป๋หลี่เฟิ่งนี้ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาทรงพลังยิ่งนัก
เสียงปะทะกันระหว่างหมัดและเท้าดุจค้อนและเหล็ก ซึ่งแรงปะทะกันเช่นนี้ ทำให้ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินเสียงเหล่านี้ต่างรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที
ร่างของทั้งสองเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แสงสีดำและแสงสีฟ้าเข้าประสานเข้าหากัน ซึ่งรวดเร็วจนคนดูมองไม่ออกว่าใครเป็นฝ่ายได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
“ช่างเป็นทักษะการต่อสู้ที่ช่ำชองยิ่งนัก!”
“ทั้งสองตระหนักรู้ถึงทักษะการต่อสู้ที่พวกเขาฝึกฝนมาจนถึงระดับนี้เชียวหรือ!”
“โชคไม่ดีเสียจริงๆ ที่เข้าสู่สถานบันไป๋หยวนพร้อมกับพญามารเหล่านี้ รัศมีส่องประกายหลังจากนี้ คงมีไว้สำหรับสองคนนี้ ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”
“คิดเช่นนี้ก็ไม่ถูก หากพวกเราได้เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผู้ถูกเลือกทั้งสองและได้เห็นการเจริญเติบโตของทั้งสองคนด้วยตาของเราเอง จะโชคดีสักเพียงใด”
“เฮ้อ หากไม่นับความยิ่งใหญ่ของวิญญาณยุทธ์ อาศัยเพียงการตระหนักรู้ถึงทักษะการต่อสู้อย่างเดียว ข้าก็แพ้แล้ว”
“ไม่เป็นไร พวกเราอย่าไปเปรียบเทียบกับพญามารพวกนั้น”
“…”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์