วาจาของเจียงหลีทำเอามุมปากของจิ่งเยี่ยกระตุก
เขารู้ดีน้องสาวไม่อยากให้เขาเผยสถานะที่แท้จริง เจียงเฮ่าเป็นนักโทษหลบหนีหากถูกจับได้ที่นี่เกรงว่าต่อให้ติดปีกก็บินหนีออกไปไม่ได้
อย่างไรก็ตามเขายังมีแผนการแก้แค้นที่ต้องทำให้สำเร็จ
มู่ชิงเหยียนปรายตามองจิ่งเยี่ยจึงเห็นท่าทางหน้าซีดของเขาเข้าพอดี
“ได้ สู้ก็สู้ พวกเจ้าสำนักหลิงอู่ชอบหาเรื่องนักนี่ ข้าจะสู้ให้ถึงที่สุด” เจียงหลีกล่าวอย่างขวานผ่าซากแม้กระทั่งเจียงเฮ่ายังไม่มีโอกาสเอ่ยห้าม
“ยังมีข้าด้วย คนของสำนักหลิงอู่คนไหนไม่พอใจก็มาหาข้า” ลู่เสวียนเองก็ลุกออกมา
ไม่นานนักบรรดาลูกศิษย์สถาบันไป๋หยวนและสำนักหลิงอู่ที่ได้ยินความเคลื่อนไหวค่อยๆ ออกมารวมตัวกันโดยแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายชัดเจน
ทุกคนต่างตกตะลึง
การท้าทายธรรมดากลายเป็นศึกระหว่างสองสถาบันได้อย่างไร
มู่ชิงเหยียนเกิดอาการตกใจในขณะที่โจวยวนก็อ้าปากค้าง พวกนางนึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้
“พวกเจ้าสำนักหลิงอู่อยากหาเรื่องนักใช่ไหม”
“ทำไม พวกเจ้าสถาบันไป๋หยวนคิดว่าแน่นักหรือฮะ คราวก่อนยังก่อคดีฆ่าคนของสำนักหลิงอู่ตายไปสองคน จะรังแกว่าสำนักหลิงอู่ไม่มีคนสู้หรือไร”
“เห็นกันชัดๆ ว่าพวกเจ้าสำนักหลิงอู่รังแกผู้อื่นก่อน”
“พวกเจ้าสถาบันไป๋หยวนถือว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยต่างอาศัยบารมีอาจารย์แอบอ้างกันทั้งนั้น
“ถุย พวกเจ้าก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่หรอกเป็นลูกแหง่เหมือนกันหมด ใช้ยาวิเศษยกระดับขั้นฝึกอย่างนั้นหรือ”
“พวกสุนัขรับใช้”
“เจ้าด่าใครฮะ ที่นี่คืองานฤดูล่าสัตว์ไม่มีการแบ่งชนชั้น”
“…”
การปะลองของคนๆ เดียวกลายเป็นสงครามน้ำลายของทั้งสองฝ่าย
“หุบปาก” มู่หว่านโหรวขมวดคิ้วตวาดลั่น
ขณะเดียวกันเจียงหลีก็ยกมือขึ้นหยุดอารมณ์คุกรุ่นของฝั่งสถาบันไป๋หยวน
ทั้งสองฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์แต่กลับจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้เกรงว่าที่แห่งนี้โลหิตคงไหลหลั่งจนกลายเป็นแม่น้ำไปแล้วล่ะ
จิ่งเยี่ยมีสีหน้าร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้แต่กลับสะใจแทนน้องสาว ดูแล้วนางใช้ชีวิตในสถาบันไป๋หยวนได้ไม่เลวทีเดียว
“งานวสันต์ฤดูล่าสัตว์มีเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน หากองค์หญิงอยากแลกเปลี่ยนกับข้าก็มาเถอะ ส่วนคนอื่นหากต้องการแลกเปลี่ยนก็ไปนัดหมายการประลองกันเอง” เจียงหลีกล่าวอย่างแย้มยิ้มแล้วถอยออกมาก่อนหนึ่งก้าว
มู่ชิงเหยียนกระตุกมุมปากแล้วลุกออกมาเช่นกัน
คนก่อเรื่องทั้งสองฝ่ายต่างก้าวออกมา ส่วนคนอื่นก็ทยอยถอยหลังปล่อยให้ทั้งสองได้แสดงฝีมือ
ในขณะที่ลู่เสวียนกำลังจะถอยไปก็กล่าวกับเจียงหลีขึ้นมาเบาๆ “มู่ชิงเหยียนเป็นหนึ่งในอัจฉริยะทั้งสิบแห่งเมืองหลวง น่าจะฝึกถึงหลิงเจี้ยงขั้นสองแล้ว”
เมื่อพูดจบเขาจึงเพิ่มอีกหนึ่งประโยค “ที่จริงข้าคิดว่าด้วยความเก่งกาจของเจ้า ในอัจฉริยะทั้งสิบแห่งเมืองหลวงนอกจากหรงจิ่งกับฉินหวานคู่แล้วคนอื่นต่างไม่มีค่าพอให้เกรงกลัว”
เจียงหลีหันไปมองดวงตาเรียวคมของลู่เสวียนอย่างนึกขำในใจ
ท่าทาง ‘สนิทสนม’ ของทั้งสองกลับทำให้ดวงตาของโจวยวนลุกเป็นไฟอดใจไม่ไหวถึงขั้นพุ่งตัวเข้าไปแยกสองคนให้ออกจากกัน
โชคดีที่ลู่เสวียนไม่ได้พูดกับเจียงหลีนานนักจึงถอยออกไปจากสนามรบ
เจียงหลีกับมู่ชิงเหยียนต่อสู้กันต่างมีคนช่วยเหลืออยู่รอบตัว ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่การแลกเปลี่ยนส่วนตัวกันของพวกเขาอีกแต่กลับกลายเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับเกียรติยศศักดิ์ศรีระหว่างสถาบันไป๋หยวนกับสำนักหลิงอู่ไปเสียแล้ว
ความเคลื่อนไหวนี้ทวีความวุ่นวายมากขึ้น แม้กระทั่งอัจฉริยะทั้งสิบแห่งเมืองหลวงต่างก็ถูกดึงดูดเข้ามา


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์