น้ำเสียงของเจียงหลีกังวานดังก้องไปทั่วทั้งสนามล่าสัตว์
ทุกคนประหลาดใจและตกใจอย่างยิ่ง
หรือว่าวันนี้หลิงเจี้ยงอายุสิบสามจะได้เหยียบหน้าเชื้อพระวงศ์ใช่ไหม
ต้องรู้ด้วยว่าในราชวงศ์ส่งเทียนเจียวรุ่นนี้ออกมาคือองค์หญิงซีสยาและองค์หญิงอันผิงนอกจากนี้มีองค์ชายอีกสองพระองค์ที่ยังไม่เสด็จมาถึงงาน
สี่คนนี้ได้ยึดครองตำแหน่งสี่ในสิบของอัจฉริยะทั้งสิบแห่งเมืองหลวงไปแล้ว
เพลานี้เจียงหลีทำให้องค์หญิงซีสยายอมล่าถอยแต่กลับไปท้าทายองค์หญิงอันผิงต่ออีก สำหรับฝูงชนแล้วเห็นได้ชัดว่าเจียงหลีจงใจยั่วยุเหล่าราชวงศ์
สาวน้อยผู้นี้ช่างกล้าดีจริงๆ!
“เหอะพรสวรรค์เท่าหางอึ่งเยี่ยงเจ้าทำท่าหยิ่งผยองนัก องค์หญิงเป็นผู้ที่ใครก็สามารถท้าทายได้หรือ” เสียงเยาะเย้ยดังลอยมาจากทางค่ายสำนักหลิงอู่
“ใช่แล้ว องค์หญิงอันผิงเป็นถึงเทียนเจียวจะมาเทียบกับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร”
“ช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
“…”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังมาไม่ขาดสาย
เจียงหลีไม่เดือดเนื้อร้อนใจเพียงแต่ยักคิ้วถามกลับไปหนึ่งประโยค “ทำไม อยากท้าทายลูกศิษย์สำนักหลิงอู่ต้องถามหาโคตรเหง้าศักราชด้วยหรือ”
ประโยคเดียวทำเอาพวกปากพล่อยถึงกับหน้าถอดสี
เจียงหลีขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้เป็นตัวตลกที่นี่จึงได้แต่มองไปยังมู่หว่านโหรว “องค์หญิงท่านกล้าหรือไม่”
น้ำเสียงฟังดูจงใจยั่วยุอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่คนที่ไม่ทราบสาเหตุก็ยังสามารถได้กลิ่นตุๆ
ดูเหมือนระหว่างสาวน้อยผู้นี้กับองค์หญิงอันผิงจะมีอดีตความแค้น
แม้กระทั่งจิ่งเยี่ยยังขมวดคิ้วมุ่นกวาดสายตาเย็นชาดั่งน้ำแข็งมองไปที่มู่หว่านโหรว
มู่หว่านโหรวยังคงสงวนท่าทางเยือกเย็นรักษาความสูงส่งของนางเอาไว้ราวกับเทพธิดาต่อการท้าทายของเจียงหลีจึงทำให้ผู้ชมทั่วทุกสารทิศยลโฉมนางด้วยความหลงใหล
มู่ชิงเหยียนขมวดคิ้วสายตาสอดส่ายไปมาระหว่างเจียงหลีกับมู่หว่านโหรวอย่างหวาดระแวง
โจวยวนกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แต่โพล่งขึ้นมาด้วยความโกรธ “พี่ชิงเหยียน ทำไมท่านถึงแพ้นางได้ล่ะ
เพคะ นางต้องมีเล่ห์เหลี่ยมใช่หรือไม่”
เมื่อนางกล่าวจบก็กัดฟันหันไปมองเจียงหลีที่ไม่สนใจนางเลยสักนิด
“แพ้ก็คือแพ้” มู่ชิงเหยียนสามารถมองเห็นทะลุอย่างถ่องแท้ เกรงว่าการต่อสู้ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ถึงแม้การชนะของเจียงหลีจะมีส่วนฉวยโอกาสเล่นเล่ห์เหลี่ยมแต่ในฐานะองค์หญิงผู้สูงศักดิ์อย่างไรก็ต้องรับผลการกระทำนี้ และไม่ใช่ผู้ที่ไม่สามารถปฏิเสธความพ่ายแพ้ได้
“ท่านดูนางสิ ชักบังอาจเกินไปแล้วไหนยังจะกล้าท้าทายพี่หว่านโหรวอีก” โจวยวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
“เงียบไว้” มู่ชิงเหยียนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “บางทีอาจจะเกิดเรื่องที่เราไม่รู้ระหว่างพวกนางสองคนก็ได้และด้วยสาเหตุที่ไม่รู้อย่างไรเสียก็ไม่ควรแสดงความคิดเห็นตีตนไปก่อนไข้ หว่านโหรวทราบดีว่าควรจัดการเยี่ยงไร”
“ก็ได้เพคะ” โจวยวนเบะปากอย่างอดไม่ได้ ถึงแม้จะไม่พอใจแต่ก็มิได้ขัดคำพูดของมู่ชิงเหยียน
ทั่วทั้งอาณาบริเวณเงียบสงบลง
ภายใต้การจ้องมองอย่างกดดันของเจียงหลีนั้นมู่หว่านโหรวก็ค่อยๆ เดินเข้าใกล้แล้วยืนประจันหน้านาง
“องค์หญิงอันผิงยอมรับคำท้านางจริงๆ ด้วย!”
“ไว้หน้านางเกินไปแล้ว!”
“ชู่ว อย่าเอ็ดไป องค์หญิงอันผิงก็แค่ไม่พอใจที่นางอวดดีจึงเตรียมสั่งสอนนางเท่านั้น”
“จริงด้วย ต้องเป็นเช่นนี้แน่ๆ”
“…”
การสนทนาเซ็งแซ่โดยรอบหยุดทันทีเมื่อมู่หว่านโหรวเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งและมองไปยังเจียงหลีด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าช่างสร้างความประหลาดใจให้ข้ามากจริงๆ เจ้าก้าวหน้ารวดเร็วก็จริงแต่นั่นกลับไม่ควรเป็นต้นทุนที่น่าภูมิใจของเจ้า”
“คราวหน้าหากข้าว่างไว้จะมาฟังคำสอนขององค์หญิงอีก แต่วันนี้ขอให้องค์หญิงโปรดชี้แนะโดยมิต้องออมมือด้วยเพคะ” เจียงหลีพูดยิ้มแหะๆ ไม่เคืองโกรธในน้ำเสียงท่าทางถือตัวกับนางเลยสักกระผีก
มู่หว่านโหรวขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจนัก “เจ้ามั่นใจในตนเองหรือ”
“หนทางการฝึกฝนช่างยากลำบาก หากไม่มั่นใจในตนเองแล้วจะเดินต่อไปได้เยี่ยงไร” เจียงหลีตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์