ทันใดนั้น นางสังเกตุเห็นสายตาของลู่เจี้ยที่มองมาที่นาง นางเงยใบหน้าเล็กๆ จ้องไปที่ชายหนุ่มผู้สูงส่งราวกับเทพบุตร
“ให้พวกเขาเข้ามา” ลู่เจี้ยเผยรอยยิ้มอย่างลึกลับออกมา
ครั้งนี้เจียงหลีไม่ได้รู้สึกสับสนกับรอยยิ้มของผู้ชาย นางขมวดคิ้ว สายตาอัดแน่นไปด้วยความคิดว่าชายผู้นี้คิดจะทำอะไรอีก นางรู้ว่านางมีเนตรญาณแล้ว แต่ว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร ตระกูลเย่ว์ก็มาเสียก่อน แถมผู้ชายแบบลู่เจี้ยก็เป็นคนที่ยากจะคาดเดา
“ลุกขึ้น มายืนข้างข้า” ลู่เจี้ยกล่าวกับเจียงหลีในทันใด
เจียงหลีกะพริบตา ลุกขึ้นตามคำสั่ง เดินไปยืนอยู่หลังลู่เจี้ย และผู้อารักขาที่มอบหมายให้ดูแลนาง ก็ไปยืนข้างหลังนางดั่งเงา พร้อมกับทำความเคารพ
เจียงหลีมองเขาอย่างสงสัย และมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ นางรับรู้ได้ว่าที่ผู้อารักแสดงความเคารพยำเกรงนั้นไม่ใช่เพราะลู่เจี้ยแต่เป็นเพราะนาง
ตอนที่ข้าปลุกเนตรญาณ มันเกิดอะไรขึ้น อะไรที่ทำให้ท่าทีของสองคนนี้เปลี่ยนไป เจียงหลีสงบความคิดลง มองไปที่ลู่เจี้ย นางอยากรู้ว่าชายคนนี้คิดจะทำเช่นใดอีก
ถ้าไม่นับการลอบโจมตีที่เจอกันครั้งแรก นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีได้เข้าใกล้ลู่เจี้ยมากเช่นนี้
นางยืนอยู่ข้างหลังเขา ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้าที่มีเสน่ห์เย้ายวน แต่ว่านางกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายที่ลอยมาอย่างชัดเจน
หนึ่งในนั้นคือกลิ่นธูปอ่อนๆ และยังปะปนกับกลิ่นหอมที่ยากจะแยกออก ไม่รู้ว่าใช้เครื่องหอมเครื่องเทศอะไร แต่กลิ่นนี้ช่างเป็นกลิ่นที่มีความพิเศษ ทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นยากที่จะลืม! เจียงหลีคิดในใจ
“เจียงหลีเจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้” เมื่อภายนอกมีเงาคนเกิดขึ้น ลู่เจี้ยกล่าวกับเจียงหลี
เจียงหลีชะงัก นางคิดไตร่ตรองชั่วขณะ สิ่งที่นางกำลังคิดไม่ใช่คำตอบของคำถาม แต่เป็นสิ่งที่ชายคนนี้ตั้งใจพูดมากกว่า
ดูเหมือนว่าฝ่ายชายก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากนาง หลังจากที่พูดคำนี้เสร็จก็มองไปที่เงาคน
“คุณหนู ผู้ที่มาท่านแรกคือเย่ว์ชิงหลิว เป็นนายใหญ่ของตระกูลเย่ว์ บุคคลที่อยู่ฝั่งซ้ายและขวาคือ ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและลำดับที่สองเย่ว์คงกับเย่ว์เซิง พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนจนถึงหลิงเจี้ยงระดับเก้าทั้งคู่ ส่วนเย่ว์ชิงเป็นหลิงเจี้ยงระดับเจ็ด”
เจียงหลีหันกลับมา มองไปคิดไปหันไปทางผู้อารักขา ผู้อารักขายิ้มให้พร้อมกับก้มหัวลง
คุณหนูอย่างนั้นหรือ
นางกลายเป็นคุณหนูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นางไม่ใช่แค่ทาสรับใช้หรอกหรือ
น่าแปลก ช่างน่าแปลกเสียจริง
เจียงหลีวางคำถามในใจลงก่อน มองไปที่เย่ว์คงและเย่ว์เซิงที่ยืนข้างเย่ว์ชิงหลิว เป็นเพราะนางได้รับความทรงจำของเจ้าของเดิมมา จึงทำให้นางรู้จักเย่ว์ชิงหลิวแต่ทว่า เย่ว์คงกับเย่ว์เซิงกลับไม่รู้ ในฐานะผู้อาวุโส จะออกมาให้ผู้คนพบเห็นง่ายๆ ได้อย่างไร แต่ว่าคิดไม่ถึงที่วันนี้เย่ว์ชิงหลิวมาที่เรือนตระกูลลู่ มิหนำซ้ำยังได้พาผู้อาวุโสทั้งสองมาด้วย ตระกูลเย่ว์มีผู้อาวุโสทั้งหมดกี่คน เจียงหลีก็ไม่รู้ ทว่านางดูออกว่าเย่ว์ชิงหลิวมาเพราะนาง คิดถึงตรงนี้ เจียงหลีกระพริบตา ภายในใจเย้ยหยัน
“เย่ว์ชิงหลิว แห่งตระกูลเย่ว์พาผู้อาวุโสสองท่าน มากราบเยี่ยมนายน้อย” หลังจากที่เย่ว์ชิงหลิวมาถึง ก็ยื่นมือคำนับทำความเคารพต่อลู่เจี้ย
ความเคารพที่อยู่ในคำพูด ดูแล้วไม่มีความจริงใจสักเท่าไหร่
เจียงหลีฟังออก และเชื่อว่าลู่เจี้ยก็เข้าใจแบบนั้นเช่นกัน
“นั่งก่อนเถิด” ลู่เจี้ยทำทีไม่ได้สนใจนัก
เย่ว์ชิงหลิวกระพริบตา แอบซ่อนบางอย่างในใจ บารมีของตระกูลลู่ ทำให้บุตรชายคนนี้เป็นที่ภาคภูมิ มิฉะนั้น คนไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถฝึกฝนได้ จะสามารถเชิดหน้าชูตาต่อหน้าเขาได้อย่างไร
“ขอบพระคุณนายน้อยเป็นอย่างยิ่ง” ท่าทีของเย่ว์ชิงหลิวยิ่งอยู่ยิ่งไม่จริงใจ
เจียงหลีมองคิ้วขมวด แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เย่ว์ชิงหลิวพาเย่ว์คงกับเย่ว์เซิงไปนั่ง แววตาของเขาเยือกเย็น เล็งสายตาไปที่เจียงหลีที่อยู่หลังลู่เจี้ย แสดงความอาฆาตอย่างเปิดเผย
“เหตุไฉนวันนี้ตระกูลเย่ว์จึงได้สะดวกแวะมาจวนตระกูลลู่ได้” ลู่เจี้ยถาม
สะดวกอย่างนั้นหรือ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์