ในยามค่ำคืน มีร่างเงาของคนสองคนจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้รบกวนใคร
เมื่อมาถึงที่ลับตาคน จิ่งเยี่ยจึงรีบถามขึ้น “อาหลี เจ้ามาได้อย่างไรกัน สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่นนะ”
ท่าทางเขาที่ดูกังวลระคนตกใจ ได้ครึ่งหนึ่งของความเย็นชาต่อหน้ามู่ชิงเหยียนหรือไม่
เจียงหลีกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไมพี่ใหญ่ถึงตามมาด้วยละ” เรื่องของเป่ยฝางไม่ใช่เรื่องธรรมดา แน่นอนว่านางไม่อยากให้พี่ชายตนต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้
“ในรายชื่อมีชื่อข้า ข้าก็ต้องมาสิ” จิ่งเยี่ยอธิบายแล้วพูดต่อ “เจ้าไม่ต้องไปแล้วรีบกลับไปซั่งตูซะ”
“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นเองเจียงหลียกมือขึ้นขัดจังหวะของเขา
จิ่งเยี่ยงุนงงแต่ก็เงียบปากมองไปทางนาง สีหน้าเจียงหลีครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดกับคนที่เจอตอนเช้า ร่างนี้ไม่เพียงเป็นร่างที่พิเศษกว่าอีกทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ
ไม่ว่าจะเป็นพวกขุนนางในเมืองหลวงหรือเชื้อสายราชวงศ์ที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ เจียงหลียังพอจำได้
เพราะไม่เพียงเคยเห็นด้วยตนเองตอนที่ตนยืนอยู่กับท่านพ่อ อีกทั้งยังเคยได้ยินจากบทสนทนาของท่านพ่อและพวกผู้ใหญ่
นางคิดทบทวนอย่างละะเอียดอีกครั้งกลับพบสิ่งที่น่าตกใจ “เหตุใดลูกหลานขุนนางทั้งหลายในสำนักหลิงอู่ไม่มีใครมาเลย ในเมื่อฮ่องเต้มีรับสั่งให้กลุ่มสังเกตการณ์เทียนเจียว เหตุใดถึงไม่ให้ไท่จื่อเป็นคนนำขบวนเองเล่า แม้กระทั่งเหล่าองค์หญิง ซื่อจือในราชวงศ์ก็ไม่มีใครเข้าร่วมเลยสักคน”
พอนางพูดขึ้นมาเช่นนี้ ในใจจิ่งเยี่ยตระหนักขึ้นมาทันที นึกขึ้นมาตอนที่มู่ชิงเหยียนมาหาเขา ดวงตาเจียงหลีหรี่ลง ครั้งนี้คนของสำนักหลิงอู่ที่ไปเป่ยฝางโดยส่วนมากเป็นผู้ถูกเลือกที่มีภูมิหลังตระกูลธรรมดา แม้จะมีผู้ถูกเลือกบางส่วนมาจากตระกูลมีชื่อเสียงแต่พรสวรรค์ก็ไม่ได้สูงมากนัก
ผู้ที่เป็นเทียนเจียวที่แท้จริงจะอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น!
ฉินเทียนอีเจ้าสำราญนั่นเป็นถึงผู้องอาจอันดับสองของเมืองหลวงก็ไม่ได้อยู่ในรายชื่อนั้นเหมือนกัน
หรงจิ่งยิ่งไม่เคยปรากฏตัวออกมา
และยังมีมู่หว่านโหรว…ใช่แล้ว ไป๋หลี่เฟิ่งเองก็ไม่ได้สมัคร แต่ได้ยินมาว่าตอนนี้เขาได้เก็บตัวฝึกฝนอยู่เลยพลาดโอกาสนี้
เจียงหลีคิดทบทวนบุคคลทั้งหลายอีกรอบ กลับพบสิ่งที่น่าทึ่ง กลุ่มสังเกตการณ์ ที่สำนักหลิงอู่ส่งมา มันเป็น กลุ่มสังเกตการณ์ก่อการร้ายชัดๆ! ส่วนผู้ที่เป็นเทียนเจียวที่แท้จริงไม่มีปรากฏสักคน
“อาหลี มีบางเรื่อง…” จิ่งเยี่ยยิ่งคิดยิ่งชั่งใจนำเรื่องที่มู่ชิงเหยียนมาหาเขาขอให้เขาถอนตัวออกพูดให้เจียงหลีฟัง
เมื่อเจียงหลีฟังจบ ยิ่งมั่นใจว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดาแน่ “ดูเหมือนว่ายังมีเรื่องบางอย่างที่พวกเราไม่รู้”
“ไม่ว่าจะมีเรื่องแอบแฝงหรือไม่ อย่างไรไรก็ตาม เป่ยฝางวุ่นวายเกินไป อันตรายมากด้วย เจ้ารีบกลับไปก่อน” จิ่งเยี่ย พูดออกมาตามตรง เป็นเรื่องยากที่เขาดึงเอาความน่าเกรงขามของพี่ชายออกมาได้
แต่เจียงหลีกลับไม่สนใจ “ข้ายังกลับไปไม่ได้ ข้ายังไม่ได้เห็นหน้าลู่เสวียนเลย”
“ลู่เสวียนหรือ ตระกูลลู่อีกแล้วหรือ คราวที่แล้วก็ลู่เจี้ย ครั้งนี้เป็นลู่เสวียน! อาหลี นี่เจ้าคิดว่าตนเป็นนางทาสของตระกูลลู่หรือ” จิ่งเยี่ยจับแขนทั้งสองของนางพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
คราวก่อนเพื่อนายน้อยตระกูลลู่ น้องสาวของเขาสู้จนทั้งร่างนองเลือด แค่นี้ก็ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจตระกูลลู่อยู่แล้ว มาคราวนี้นางยังจะเสี่ยงเพื่อตระกูลลู่อีกหรือ
ไม่! ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเด็ดขาด!
อารมณ์โมโหของจิ่งเยี่ย ทำให้เจียงหลีประหลาดใจ นางสลัดหลุดจากพี่ชายแล้วเอ่ยถาม “พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เจ้าไม่สามารถจะอยู่ในตระกูลลู่ได้อีกต่อไป ข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่” สายตาจิ่งเยี่ยจ้องไปยังนางพลันส่ายหัวเบาๆ
“ไม่ได้!” เจียงหลีปฏิเสธโดยไม่คิด
วินาทีนั้นแม้แต่นางเองก็ยังไม่เข้าใจที่ปฏิเสธอย่างรวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะเหตุใด
“เพราะอะไรกัน” จิ่งเยี่ยมองนางด้วยความเจ็บปวด สีหน้าวิงวอนเผยให้เห็นในแววตาพลางพูดน้ำเสียงเบา “อาหลี เมื่อก่อนพี่ไม่อยู่ ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ แต่ตอนนี่พี่ชายกลับมาแล้ว ข้าปกป้องเจ้าได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างไม่เป็นธรรมอีก ไม่จำเป็นต้องลำบากตัวเองอีกแล้ว”


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์