“ช้าก่อน!”
เว่ยจี๋โพล่งออกมา แต่ทว่าสายตากลับจ้องไหสุราที่เจียงหลีหอบเอาไว้ในอ้อมแขนตาเป็นมัน
อวี้ลู่เนี่ยง…
แม้ว่าเขาจะได้ลิ้มรสชาติของมันมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงต้านทานความหลงใหลของเขาที่มีต่อสุรานี้ไม่ได้สักที เขาถึงกับยิ่งได้ดื่มยิ่งหลงรัก
“วางเหล้าลงซะ” เว่ยจี๋เอ่ยขึ้นกับเจียงหลี
เจียงหลีขมวดคิ้ว “ข้าอยากเรียนวิชาปลุกเสกหุ่นเชิด” นางแสดงเจตนารมณ์ของตนเองอีกครั้ง
เว่ยจี๋กะพริบตาครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถละสายตาไปจากสุราที่อยู่ในอ้อมแขนของเจียงหลีไปได้ ในที่สดเขาก็กัดฟัน พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ได้! ข้ารับปากเจ้า!”
เมื่อเป็นไปตามเป้าหมาย เจียงหลีก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ
นางเดินกลับไปแล้วค่อยๆ นำไหสุราในอ้อมแขนวางลงบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง “เจ้าดูสิ ยอมตกลงเสียตั้งแต่ทีแรกก็ดี ทำไมต้องเล่นตัวด้วย สุดท้ายเจ้าก็พยักหน้ารับปากอยู่ดีใช่ไหมล่ะ”
“เหอะ!”
เว่ยจี๋สบถเสียงเย็นใส่นาง เขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้งก่อนจะหอบเอาเหล้าสี่ไหไว้ในอ้อมกอดแล้วหมุนตัวกลับไป
“นี่ แล้ววิชาปลุกเสกหุ่นของข้าล่ะ” เจียงหลีเตือนไล่หลังเขา
เว่ยจี๋หยุดเดินแต่ไม่หันกลับมามอง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก “เริ่มพรุ่งนี้”
เมื่อได้รับคำตอบที่แน่นอน เจียงหลีจึงยิ้มตาหยี
เมื่อกลับมาที่สุสาน เจียงหลีได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เรียบง่ายเช่นนี้เป็นเวลาสองสามปี ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะกลายเป็นห้องนอนของนางไปเสียแล้ว
เจียงหลีนั่งลงบนเตียงหินแล้วเปิดกระเป๋าเอาวิเศษเพื่ออุ้มเจ้าเปี๊ยกที่กำลังลังหลับสนิทออกมา “เจ้าเปี๊ยก ทำไมเจ้าถึงนอนกินบ้านกินเมืองขนาดนี้ แต่เจ้าหลับไปตั้งหลายปี ทำไมเจ้าถึงไม่โตขึ้นเลยล่ะ!”
เวลานี้ ชั้นแสงเปล่งประกายนั้นที่เคยปกคลุมร่างกายของเจ้าเปี๊ยกไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ขนาดตัวมันเท่าเดิม เป็นเจ้าก้อนตัวเล็กๆ เพียงแต่ขนของมันดูนุ่มลื่นเงางามมากขึ้น
ท่านอนใสซื่อไร้เดียงสาของมันทำเอาเจียงหลียื่นมือไปเกาหูสีชมพูของมันด้วยความมันเขี้ยว
ดูเหมือนมันที่กำลังหลับฝันหวานอยู่ รู้สึกถึงการถูกรบกวนของเจียงหลี เจ้าเปี๊ยกในอ้อมกอดของนางจึงขยุกขยิก อุ้งเท้าอวบอ้วนของมันจับนิ้วของนางอย่างแม่นยำ ทั้งยังทำท่าโอนอ่อนไปตามฝ่ามือนางที่เกาไปมา
ความจั๊กจี้ที่ฝ่ามือทำให้เจียงหลีอยากชักมือกลับ แต่ทว่าเจ้าเปี๊ยกกลับจับนิ้วหัวแม่มือนางเอาไว้แน่น
“ไอ้ตัวแสบ!” เจียงหลีถอนมือออกไม่ได้ ต้องปล่อยให้มันหลับคานิ้วนางไปแบบนี้
ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาเช่นนี้ ทำให้มุมปากของเจียงหลียกยิ้มออกมาจากใจ
…
วันรุ่งขึ้น วันนี้ที่รอคอย
เจียงหลีเรียกขวัญและกำลังใจให้ตนเองแล้วเดินไปที่ตำหนักใหญ่ของเว่ยจี๋ เขานั่งเอกเขนกอยู่บนแท่นฐานกลมเช่นเดิม เพียงแต่ วันนี้เขาไม่ได้ถือไหสุราในมืออีกต่อไป แล้วถือจอกสุราสีหยก นิ้วเรียวได้รูปถือขอบจอกหมุนข้อมือเบาๆ
เมื่อเห็นเขาเพลิดเพลินกับการร่ำสุรา เจียงหลีก็คิดว่าเขาต้องลืมสัญญาในวันนี้แน่นอน
“อ่ะแฮ่ม” เจียงหลีแกล้งกระแอมไอเพื่อเรียกสติเขา
แต่…
หลังจากที่เว่ยจี๋ได้ยินเสียงนาง เขาก็เพียงลืมตาขึ้นมาเห็นช่องว่างเล็กน้อย เหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วหลับตาอีกครั้ง
ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขา ทำเอาเจียงหลีถึงกับขมวดคิ้ว แล้วก้าวฉับๆ สองสามก้าวขึ้นไปเหยียบบนแท่นกลมที่เขานั่ง จากนั้นก็ยกเท้าเตะเขาไปหนึ่งที
“ฮ้าววว…!” เว่ยจี๋หันกลับมา เขาหาวแล้วบิดขี้เกียด หลบหนีบาทาของเจียงหลีที่กำลังเตะได้อย่างสวยงาม
ดวงตาของเจียงหลีดำดิ่ง ขบกรามแล้วเอ่ยเรียก “เว่ยจี๋”
“รู้แล้วๆ ข้าไม่ลืมหรอกน่า” เว่ยจี๋ชูแขนบิดขี้เกียจ แล้วลุกขึ้นนั่ง แขนเสื้อกว้างตกลงไปตามความยาวของเรียวแขน และเผยให้เห็นผิวที่ขาวซีดของเขา
ยกจอกในมือขึ้นจรดริมฝีปากแล้วจิบหนึ่งอึก เว่ยจี๋หลับตาเพื่อดื่มด่ำกับรสชาติของอวี้ลู่เนี่ยงที่ไหลกลืนลงคอของเขาลงไป จนรู้สึกว่ามันตกถึงท้องแล้ว “สุราชั้นเลิศ! สมกับเป็นสุราชั้นเลิศจริงๆ!”

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์