ลู่เจี้ยจากไปในยามที่ฟ้ายังมืดอยู่ นอกจากลู่ซิ่งเฉาแล้วก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมาของเขา
แม้กระทั่งลู่ซิ่งเฉายังไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตที่เขาภาคภูมิใจนี้ระหว่างที่เดินจากไปแอบย่องเข้าค่ายที่พักของกลุ่มเทียนเจียวสังเกตการณ์ หยุดอยู่ตรงค่ายหลังหนึ่ง
ความมืดซ่อนเงาร่างเขาไว้อย่างดีจนคนที่นั่งสมาธิฝึกฝนอยู่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามา
“เด็กโง่ ไม่ให้เจ้ามา เจ้ายังดื้อด้านที่จะมา ครั้งนี้คงจะเหนื่อยเพราะเสี่ยวเสวียนล่ะสิ” ในเงามืดมีเสียงพึมพำเบาๆ
เขาจ้องมองเงาร่างที่อยู่ในห้องความรู้สึกที่ไร้หนทางไม่เคยปรากฏกับตัวเขามาก่อน เปิดเผยออกมาในที่ที่ไม่มีใครพบเห็น “หลีเอ๋อร์ ครั้งนี้ข้าสามารถปกป้องทุกคนที่ข้าห่วงใย แต่ท่านพ่อตัดสินใจเสียสละชีวิต ข้าควรทำอย่างไรดี ข้ารู้สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ชีวิตของเขาสามารถช่วยให้ตระกูลลู่สยบความวุ่นวายในแผ่นดินได้ แต่ข้าจะแข็งใจได้อย่างไรกันและยังมีท่านแม่อีก…หากท่านพ่อเสียไป ท่านแม่จะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แน่ ท่านพ่อรู้ ข้าก็รู้ หรือเพื่อแผ่นดินของตระกูลลู่ ข้าต้องสูญเสียพ่อแม่อย่างงั้นหรือ เจ้าเคยพูดว่าเจ้าเคยเป็นจักรพรรดินีมาก่อน หากเจ้าเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ เจ้าจะทำอย่างไร”
คำพูดนี้แน่นอนว่าไม่มีใครตอบ
ในที่สุดลู่เจี้ยก็จากไปอย่างเงียบๆ อันที่จริง หลังจากลู่ซิ่งเฉาตัดใจแน่วแน่ ในใจเขาก็มีคำตอบแล้ว
ลู่เจี้ย คนไร้หัวจิตหัวใจ แต่ภายใต้ความเย็นชานี้กลับซ่อนความอ่อนโยนไว้ มีเพียงคนที่สนิทใกล้ชิดเท่านั้นถึงจะเห็น
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดไร้จิตใจ
เพื่อตระกูลลู่ข้าต้องเสียสละอายุขัย เพื่อตระกูลลู่ท่านพ่อเสียสละชีวิต แค่เป็นเส้นทางแตกต่างกันแต่มีเป้าหมายอันเดียวกัน ลู่เจี้ยที่เดินออกมาจากค่ายทหาร…
หากตัดความตายออกไปในโลกนี้ยังมีอะไรน่ากลัวอีกหรือ …
สงครามภายใต้แผนการชั่วร้ายยังคงดำเนินต่อ
เหล่าเทียนเจียวทั้งหลายยังคงไปเฝ้าสังเกตที่สนามรบทุกวัน คงคิดไม่ถึงว่าตนเป็นเพียงหมากเล็กๆ ที่ราชวงศ์ไว้สู้กับตระกูลลู่
หลายวันมานี้ลู่ซิ่งเฉายินยอมให้เหล่าเทียนเจียวชมการต่อสู้ได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ใครลงสนาม สถานการณ์แบบนี้ทำให้ผู้นำนั้นร้อนใจ
ขณะเดียวกันกองทัพขนาดเล็กได้เดินทางมาถึงเป่ยฝาง
“เร็วสิ! เร็วอีก!” หน้าต่างบนรถม้าถูกเปิดออก ใบหน้างดงามมีเสน่ห์ของโจวยวนโผล่ออกมา
นางเร่งกองทัพให้เดินเร็วขึ้นอีก แววตามีความเร่งรีบ
ทันใดนั้นได้มีมือยื่นออกมาจากหน้าต่างดึงหัวนางเข้ามา “ยวนเอ๋อร์ พวกเขาเดินทางติดต่อมาหลายวันแล้ว”
โจวยวนหันสายตามองนาง “พี่ชิงเหยียน ข้ารีบร้อนน่ะสิ! อาเสวียนก็มาเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว ดาบสนามรบหามีตาไม่ เขายิ่งบ้าบิ่นอยู่ ข้ากลัวเขาจะได้รับบาดเจ็บ”
“มีท่านลู่อ๋องคอยดูแลอยู่ ลู่เสวียนไม่เกิดเรื่องหรอก” มู่ชิงเหยียนที่ใส่เสื้อสีเรียบพูดปลอบ
โจวยวนพยายามระงับความกังวลในแววตาพลันพยักหน้า “ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามากที่ยอมแอบมากับข้า”
“ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก” มู่ชิงเหยียนตอบด้วยความรู้สึกผิด อันที่จริงแล้วที่นางตกลง ‘พฤติกรรมเอาแต่ใจ’ ของโจวยวนก็มีเรื่องส่วนตัวด้วย เพราะนางก็เป็นห่วงจิ่งเยี่ยที่อยู่ในกลุ่มสังเกตการณ์เหมือนกัน
เป้าหมายของกลุ่มเทียนเจียวสังเกตการณ์ครั้งนี้ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก นางรู้สึกไม่ไว้ใจเลยอดตามมาไม่ได้ พอดีกับที่โจวยวนก็จะมาด้วย
เพียงแต่ว่าบางเรื่องนางไม่สะดวกพูดให้โจวยวนฟัง ไม่ใช่ว่าไม่ไว้วางใจเป็นเพราะนิสัยของโจวยวน
“พี่ชิงเหยียนเมื่อเราถึงเป่ยฝางควรทำอย่างไรดี พวกเราเข้าค่ายทหารพลการโดยไม่มีสาสน์ ต้องโดนไล่ออกมาแน่เลยเจ้าค่ะ” โจวยวนกล่าวอย่างกังวลใจ
แม้นางจะเป็นคนที่เอาแต่ใจแต่ก็รู้กฎของค่ายทหารดี
มู่ชิงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อยครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวกล่าวว่า “เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วเราไม่ทีทางเลือกที่ดีกว่านี้นี่” ถึงเป่ยฝางพวกนางคงต้องซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง ให้คนคอยเฝ้าสังเกตการต่อสู้แล้วมารายงาน
ถ้าสถานการณ์อันตรายผ่านไปได้นั้นยิ่งดี แต่หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นก็หวังว่าพวกนางจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์