หลังจากนั้นไม่นาน ที่เมืองซูหนาน เดิมทีนั้นตระกูลลู่เป็นผู้ครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ กลับต้องถูกกลืนกินไปกับกองเพลิงในพริบตา
เมื่อข่าวไปถึงเรือนของทหารองครักษ์ เฮ่อเหลียนเฟิงก็กระโดดลงจากเตียงสนมของเขาด้วยความตกใจ
เขามาถึงพร้อมกับเหล่ากองกำลังทหาร พบเพียงทะเลเพลิงลุกโชนอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
หลังจากเหตุการณ์นี้ ข่าวลือได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองซูหนาน
บางคนพูดว่า คนของตระกูลลู่ทั้งหมดถูกเผาไหม้และจมกองเพลิง มีบางคนพูดอีกว่า ตระกูลลู่ทำผิดจึงต้องเผาเรือนแล้วหนีไป
…
เรื่องราวในเมืองซูหนาน ข่าวยังไม่ทันได้ส่งไปยังซั่งตู
แต่ว่าเรื่องบนแท่นประหารที่อู่เหมินได้แพร่กระจายไปยังพระราชวังแล้ว
มู่เจิ้งเฟิงยืนอยู่ข้างบัลลังก์มังกร กวาดล้มกระเบื้องเคลือบชั้นดีจนแตกละเอียด แต่ก็มิอาจบรรเทาความโกรธลงได้
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี! เจ้าพวกไร้ประโยชน์! เป็นคนภายใต้องค์ชายแท้ๆ ยังปล่อยให้คนปางตายแล้วหลอกได้อีก! ทำให้ข้าอับอายยิ่งนัก!”
คนที่มู่เจิ้งเฟิงกำลังตำหนิ คือขุนนางที่ลานประหารนั่นเอง
ในขณะนี้ เขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้า และไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกลัวจนตัวสั่น
“ฝ่าบาท เมื่อข้าไปถึงที่จวนของตระกูลลู่ ก็พบว่าข้างในไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว แม้กระทั่งทรัพย์สินในจวนก็หายไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย” ณ ขณะนี้นายพลที่ถูกสั่งให้ไปยึดเรือน ก็คุกเข่าและรายงานอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
เรือนของตระกูลลู่ได้ขับไล่เหล่าคนรับใช้ของเขาออกไปอย่างลับๆ พวกเขารู้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะจัดการขับไล่จนหมด เพราะไม่เหลือไว้ให้พวกเขาแม้สักคนเดียวเยี่ยงนี้
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ สีหน้าของมู่เจิ้งเฟิงก็มืดมนมากขึ้น “ไร้ประโยชน์!ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” เขาที่เต็มด้วยความโกรธ จึงกวาดกองหนังสือพับบนโต๊ะลงกับพื้น
คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
มู่เจิ้งเฟิงคงไม่คาดคิดมาก่อน ว่าคราวนี้เขาจะชนะอย่างสวยงาม และเมื่อมาถึงตอนท้าย กลับถูกโต้ตอบกลับอีกครั้ง
รู้สึกไม่สาแก่ใจ เขาหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วบัญชาว่า “ตามโองการของข้า ให้แขวนศพของลู่ซิ่งเฉาและภรรยาของเขาที่อู่เหมิน ให้ตากแดดเป็นเวลาสามวัน ส่วนศพของข้ารับใช้ที่ดื้อรั้นของเขา ก็ให้เป็นอาหารของพวกหมาป่าซะ”
ขุนนางที่ลานประหารและนายพลที่รื้อค้นบ้าน ต่างมองไปที่ฮ่องเต้ของพวกเขาด้วยความตกใจ
กล่าวกันว่าคนตายก็เหมือนไฟตะเกียงที่ดับ ขณะที่ยังมีชีวิตไม่ว่าจะมีความไม่พอใจหรือความคับแค้นใจอะไรก็ตาม เมื่อคนตายไปแล้ว ก็ควรปล่อยวาง แต่ไม่คาดคิดว่า ฮ่องเต้ของพวกเขาจะรับสั่งทำเช่นนี้ได้จริง
“องค์ชายอยู่ที่ใด” มู่เจิ้งเฟิงไม่สนใจในสิ่งที่พวกเขาคิด และตะโกนถามขันทีที่อยู่นอกประตู
ไม่นานนัก ก็มีคนไปตามองค์ชายแห่งราชวงศ์โฮ่วจิ้นเข้ามา
โดยไม่ให้มู่เจิ้งเฟิงต้องรอนาน องค์ชายที่ถูกเรียกตัว ก็มาถึงด้านนอกวังแล้ว
พระโอรสในราชวงศ์โฮ่วจิ้นนี้ มีอยู่สองพระองค์
หนึ่งคือองค์ชายรัชทายาทองค์ปัจจุบัน มู่สิงโจว อายุยี่สิบห้า เป็นหลิงเจี้ยงระดับหก อยู่ในอันดับที่สามในสิบผู้องอาจแห่งเมืองหลวง เกิดจากฮองเฮาแห่งราชวงศ์องค์ปัจจุบัน
ยังมีอีกองค์หนึ่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นหย่งหวัง พระราชโอรสในพระสนมหานเฟยผู้ล่วงลับ
มีนามว่ามู่สิงฉือ เมื่อครั้งอายุสิบห้า เขาออกจากราชวงศ์โฮ่วจิ้นและฝึกฝนตนที่ภายนอกเป็นเวลาหกปี โดยไม่ค่อยจะกลับมาที่วัง หัวใจของพระองค์ไม่ได้ฝักใฝ่ในบัลลังก์ใดๆ และองค์ชายก็ดำรงอยู่ในราชวงศ์โฮ่วจิ้นอย่างไร้ตัวตน
มู่สิงโจวมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าสัดส่วนได้รูป เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม สง่างามสมกับเป็นองค์ชาย
เมื่อเข้ามาในท้องพระโรง เขามองไปยังเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ แล้วทักทายเสด็จพ่อของตน “เสด็จพ่อ ลูกอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”
“โจวเอ๋อร์ มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าไปทำ” มู่เจิ้งเฟิงจ้องมองโอรสของตนด้วยแววตาเย็นชา
มู่สิงโจวเงยหน้าขึ้น แต่ก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วพร้อมตอบกลับว่า “ลูกพร้อมสนองคำสั่งของเสด็จขอรับ”
“ข้าต้องการให้เจ้านำทหารองครักษ์ของซั่งตู ไปค้นหาให้ทั่วเมืองเพื่อหาคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่ และ หลังจากที่จับคนของตระกูลลู่ได้ ไม่ต้องมารายงานแก่ข้า เจ้าจัดการฆ่ามันได้ทันที เจ้าทำได้หรือไม่” สายตาของมู่เจิ้งเฟิงดูน่ากลัวเล็กน้อย
มู่ซิงโจวพยักหน้ารับคำสั่งโดยไม่ลังเล “ลูกจะไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังขอรับ”
“ดีมาก! จำไว้ว่า ฆ่ามันและอย่าปล่อยให้รอดไปได้!” มู่เจิ้งเฟิงกัดฟันและพูดเน้นย้ำ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์