เจียงหลีคาดคิดไม่ถึงว่าการเจอกับหม่าหยวนจย่าในครั้งนี้ จะเป็นการเจอที่สถาบันไป๋หยวน
เขาตัดสินใจที่จะอยู่ ส่วนกองกำลังลับของตระกูลลู่ได้หนีไปพร้อมกับร่างของลู่อ๋องและพระชายาแล้ว
“คุณหนู นายน้อยสั่งไว้แล้วว่าให้พวกท่านต้องหาทางกลับซูหนานด้วยตนเอง” หม่าหยวนจย่าที่ยืนอยู่ข้างเจียงหลีรายงานด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ
เขาแอบมองไปที่ลู่เสวียนที่เงียบอยู่นั้น และถอนหายใจ
“เขายังบอกอะไรอีกบ้าง” เจียงหลีซักถามด้วยน้ำเสียงใจเย็น หาทางกลับเอง วิธีนี้สมกับการที่เป็นลู่เจี้ยเสียจริง
หม่าหยวนจย่าเงยหน้าขึ้นมามองดูนาง และก้มลงไปอย่างรวดเร็ว “เขายังบอกอีกว่า…การเป็นผู้แกร่งกล้านั้น ก็เหมือนดั่งเหล็กแท่งหนึ่ง ถ้าหากไม่ผ่านการใช้งาน ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังคงเป็นเพียงเศษเหล็กชิ้นหนึ่ง แต่สำหรับคุณหนูและซื่อจื่อแล้ว การฝึกฝนในเรื่องความเป็นความตายนั้น ก็เหมือนดั่งการบรรลุของหงส์ พวกท่านจำเป็นต้องเหมือนไฟ ยิ่งต่อสู้มากแค่ไหนก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”
“ต้องเหมือนดั่งไฟ ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง!” ลู่เสวียนที่กำลังเงียบอยู่นั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและพูดประโยคนี้ซ้ำอีกครั้ง
“นายน้อยลู่พูดถูก ในโลกใบนี้สิ่งที่สามารถปกป้องให้กับพวกท่านปลอดภัยตลอดไปนั้น มีเพียงแค่ตัวพวกท่านเอง ดังนั้น พวกท่านจำเป็นต้องแข็งแกร่งต่อไป ยิ่งช่วงเวลาที่มีแรงกดดันมากก็จะเป็นช่วงที่พวกท่านเติบโตได้เร็วขึ้น นายน้อยลู่เป็นบุคคลที่เก่งมาก ท่านไม่เคยเสียเวลากับโอกาสที่จะฝึกซ้อมพวกท่านเลยแม้แต่น้อย” หนานอู๋เฮิ่นถอนหายใจ
จากเมืองซูหนานถึงซั่งตู
เขาสังเกตได้ว่านายน้อยลู่ที่ถูกประณามว่าเป็นคนไร้ประโยชน์นั้น กำลังใช้กลวิธีของตนเองปกป้องคนรอบข้างอยู่ แต่ในการปกป้องนี้คือการที่สามารถทำให้พวกเขาแข็งแกร่งได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ใช้ให้ผู้อื่นมาปกป้องตนเอง แสงในดวงตาของลู่เสวียนเปล่งประกายขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่พูดถูก! ข้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่ง! ข้าจะใช้ความสามารถของตนเองกลับไปถึงที่ซูหนานให้ได้!”
เจียงหลีนิ่งเงียบและไม่พูดอะไร
การฝึกฝนในความเป็นความตายเป็นวิธีที่สามารถเติบโตได้มากที่สุด เหตุผลนี้นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เพียงแต่ว่านางในตอนนี้ไม่อยากที่จะฝึกฝนความเป็นความตายอีกแล้ว นางเพียงแค่อยากกลับไปเคียงข้างชายคนนั้นให้ไวเท่านั้นเอง
ลู่เจี้ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
ความเจ็บปวดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักและการทำสงครามกับราชวงศ์ ร่างกายของเขาจะสามารถแบกรับความเจ็บปวดเหล่านี้ได้หรือไม่
“ท่านอาจารย์หนาน ท่านจะมอบสิ่งใดให้กับพวกข้ารึ” เจียงหลีหันสายตามองไปที่หนานอู๋เฮิ่น
ในวันนี้ หนานอู๋เฮิ่นปรากฏตัวและได้ช่วยพวกเขาไว้ ทำให้นางรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
หนานอู๋เฮิ่นยิ้ม หยิบจดหมายซองหนึ่งจากอก และมอบให้กับเจียงหลี “ในที่สุดก็ไม่ทำให้เสียความไว้วางใจของนายน้อยลู่แล้ว”
“จดหมายเข้าเมืองรึ” เจียงหลีที่มองดูตัวอักษรที่อยู่บนนั้นอย่างชัดเจน เอ่ยปากถามและมองไปที่หนานอู๋เฮิ่น
หนานอู๋เฮิ่นอธิบาย “นี่เป็นจดหมายที่แนะนำให้ไปยังสถาบันไป๋หยวนแห่งซีเฉียน จากที่ข้าดูความต้องการของนายน้อยลู่แล้ว คือไม่อยากให้พวกท่านสองคน เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ท่านหวังอยากให้พวกท่านเดินหน้าฝึกฝนต่อไปที่ซีเฉียน
เจียงหลีขมวดคิ้ว
ลู่เสวียนแสดงปฏิกิริยารุนแรงและลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ไป! แค้นครั้งนี้ของท่านพ่อท่านแม่ยังไม่ได้ชำระ ข้าจะไม่ออกจากโฮ่วจิ้นเด็ดขาด”
หนานอู๋เฮิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “พวกท่านจะไปหรือไม่ก็ไม่ข้องเกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว รอเวลาที่พวกท่านกลับถึงซูหนานและเจอกับนายน้อยลู่เมื่อไหร่ ค่อยไปบอกเขาเองแล้วกัน”
กล่าวไปกล่าวมา เขาหันไปทางเจียงหลี คำพูดแลดูมีความหมายลึกซึ้ง “เด็กน้อย เจ้ายังจำสิ่งที่ข้าเคยพูดกับเจ้าได้หรือไม่ โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล สายตาของเจ้าจะต้องมองไปให้ไกลเช่นกัน”
หัวใจของเจียงหลีสั่นสะท้าน
นางจำคำพูดของหนานอู๋เฮิ่นได้แน่นอน นางยังจำได้อีกว่า สถาบันไป๋หยวนของเมืองต่างๆ เพียงเพื่อที่จะคัดเลือกตำแหน่งผู้ที่แข็งแกร่งให้กับซีฮวง เมื่อนางได้ทราบเช่นนี้แล้ว ก็มีความคิดที่อยากจะไปที่ซี
ฮวงเลยทันที
จุดมุ่งหมายหลักที่ลู่เจี้ยให้พวกเขาออกจากสถาบันไป๋หยวนที่โฮ่วจิ้น แล้วเดินหน้าไปสถาบันไป๋หยวนที่ซีเฉียน ก็เพื่อที่จะให้พวกเขาจะฝึกฝนตนเองอย่างตั้งใจและสามารถเข้ารับเลือกตำแหน่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในซีฮวงได้มิใช่หรือ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์