“ตกลงนี่มันเป็นสุสานโบราณหรือนรกกันแน่!”
ทั้งสามคนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ลู่เสวียนหน้าถอดสี
ก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามสุดกำลังเพื่อจะเปิดประตูหิน ตอนนี้กว่าจะเปิดออกได้แต่กลับถูกปกคลุมด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น
“ข้าว่าแค่พวกเราก้าวข้ามธรณีประตูนี้ไปก็จะกลายเป็นคนตายแล้วล่ะ” แววตาของเหวินเหรินชิ่งชิ่งเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
“สัตว์ประหลาดทดสอบพวกเรา พอเอาชนะพวกมันจึงสามารถเปิดประตูได้ ไม่แน่ด้านหลังประตูนี้อาจมีบททดสอบอีกก็ได้” เมื่อเจียงหลีเอ่ยจบ เจียงหลีก็ยกขาก้าวขึ้นเหยียบขั้นบันได
ยิ่งเข้าใกล้ประตูหินที่เปิดระยะให้คนผ่านได้คนเดียวก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเฉียบคมของจิตสังหาร
“บททดสอบอย่างนั้นหรือ” เหวินเหรินชิ่งชิ่งถามอย่างไม่เข้าใจ
เจียงหลีหยุดเดิน สายตาจ้องมองความโกลาหลด้านหลังประตูแล้วอธิบายเสียงเรียบ “หางของสัตว์ประหลาดถูกสลักเข้ากับเสาหินอย่างมั่นคง นี่จึงอธิบายได้ว่า ขอเพียงไม่เข้าไปใกล้ประตูหิน พวกมันก็จะไม่ทำร้ายคนที่เข้ามา หากเจ้าของสุสานต้องการฆ่าทุกคนที่พยายามเข้ามาในสุสานจริงล่ะก็ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะทำเยี่ยงไรได้ ก่อนหน้านี้ก็เจอกองทัพอินซุ่ยมาแล้ว พอมาตอนนี้ยังเจอสัตว์ประหลาดเฝ้าสุสานอีก ถึงแม้จะน่ากลัว แต่ต้องทำลายทางตันเหลือทางรอดอันริบหรี่เอาไว้ให้ได้
“แล้วนี่หมายความว่าอย่างไร” เหวินเหรินชิ่งชิ่งขยี้ถาม
เจียงหลีกลับหัวเราะ “ใครจะไปรู้ล่ะ เจ้าของสุสานต้องการผู้สืบทอดหรือเปล่า”
เมื่อพูดจบแววตาของนางก็ดำดิ่งลงเข้มแข็งขึ้นไม่มีสิ่งใดเปรียบ “ในเมื่อถอยไม่ได้ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงก้าวต่อไปข้างหน้า”
“ใช่ ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่ต้องยอมแพ้” ลู่เสวียนพูดพลางเดินตามทันเจียงหลี
เหวินเหรินเห็นทั้งสองเลือกเช่นนี้ก็เปลี่ยนสีหน้าจากนั้นจึงเดินตามขึ้นมาสมทบ
“เราไปกันเถอะ” เจียงหลีเอ่ยขึ้นและก้าวเข้าไปในประตูหินก่อนใคร
ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งไม่รอช้ารีบตามนางเข้าไป หลังจากทั้งสามเข้าไปในประตูแล้ว ทันใดนั้นประตูหินก็ปิดกลับไปเหมือนเดิม ที่ด้านนอกประตูหิน เศษก้อนหินแตกของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะลอยกลับเข้ามายังเสาหินดังเดิม มีเสียงคำรามของสัตว์ประหลาดดังออกมาแผ่วเบาด้วยความโกรธแต่กลับทำอะไรไม่ได้ พวกมันกลับมาเป็นหินแกะสลักพันรอบเสาหินใหม่อีกครั้ง
“เซ่าจวิน เซ่าจวิน!”
คนล่ะ
ลู่เสวียนยืนอยู่กับที่กวาดสายตามองไปรอบๆ แต่กลับไม่เจอแม้แต่เงาของเจียงหลี
เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเขาสามคนเข้ามาพร้อมกัน แต่พอผ่านความมืดที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวและจิตสังหารเข้ามาก็ไม่เห็นเจียงหลีเสียแล้ว
“ตอนเข้ามา เรายังได้ยินเสียงนางชัดเจนอยู่เลยนี่นา” เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็กระวนกระวายขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้ นางและลู่เสวียนยืนอยู่ท่ามกลางห้องโถงใหญ่ ในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ไม่มีสิ่งของที่ฝังมาพร้อมกับศพ แต่เป็นเพียงห้องโถงใหญ่ธรรมดาเท่านั้น พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าเข้ามาได้อย่างไร แค่รู้สึกว่าพอดวงตาได้รับแสงสว่างก็มาปรากฏตัวในที่แห่งนี้เสียแล้ว
แต่ทว่า เจียงหลีหายไปไหน
“หรือว่าเมื่อครู่นี้เดินแยกทางกัน” น้ำเสียงของลู่เสวียนมีความร้อนรนขึ้นมาบ้าง
ท่าทางกระวนกระวายของเขาทำให้เหวินเหรินชิ่งชิ่งยิ่งสงสัยในสถานะของเจียงหลี “เซ่าจวินคนนั้น เป็นนางกำนัลของเจ้าจริงๆ หรือ”
คำถามจู่โจมเช่นนี้ทำเอาลู่เสวียนนิ่งค้างไปทั้งร่าง สถานะของเจียงหลีจะแพร่งพรายออกไปมิได้เด็ดขาด ถึงอย่างไรอีกฝ่ายยังเป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์เป่ยโหรว
“อืม” ลู่เสวียนตอบหนึ่งเสียงด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแล้วเอ่ยประชด “ถึงจะเป็นแค่นางกำนัลแต่ก็เป็นคนมีชีวิตจิตใจ”
เมื่อเห็นว่าเขาเข้าใจตนเองผิด เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็หน้าเสียแต่กลับไม่โต้เถียงเพียงแต่พูดออกมาหนึ่งประโยค “วางใจเถอะ ข้ามองเห็นความสามารถของนางที่แข็งแกร่งกว่าเรามาก จะให้ห่วงนางหรือมิสู้ห่วงพวกเราเองดีกว่า”
“เจ้า!” นัยน์ตาของลู่เสวียนฉายแววเดือดพล่าน


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์