“ไปกันเถอะ ใต้เท้าทั้งสามเอ่ยอยากเจอเจ้า นี่ถือเป็นโอกาสที่ดี” หนานอู๋เฮิ่นพูดกับเจียงหลีด้วยรอยยิ้ม
เจียงหลีมองเขา ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามไปตรงๆ ว่า “พวกเขาคือหลิงจงหรือเจ้าคะ”
หนานอู๋เฮิ่นก็ไม่ปิดบังบอกคำตอบให้กับนาง “มีหลิงจงสองคน มีเนี่ยนจงหนึ่งคน”
เจียงหลีหายใจเข้าลึกๆ มีความยากเกินจะจินตนาการ มีหลิงจงสองคนและเนี่ยนจงอีกหนึ่งคน นี่ขนาดแค่สถานบันเดียวนะเนี่ย
เห็นท่าทางที่ตะลึงของนาง หนานอู๋เฮิ่นจึงพูดออกมาว่า “ไม่ต้องตะลึงขนาดนั้น ในดินแดนใต้หนานฮวง หลิงจงถือเป็นที่สุดแห่งยุค รอให้เจ้าไปถึงซีฮวงก่อนเถิด ก็จะค้นพบว่าหลิงจงมีดาษดื่นอย่างกับสุนัข”
“…” เจียงหลีไม่ได้พูดอะไรตอบ
ทั้งสองเงียบมาตลอดทาง เดินไปยังสถาบันไป๋หยวน ก่อนที่จะถึงหน้าประตูสถาบัน เจียงหลีถึงได้หยุดลงแล้วถามว่า “ความแตกต่างระหว่างสองดินแดนนั้นมากขนาดนี้เลยหรือ หนานฮวงถูกลิขิตให้กันดารหรือเจ้าคะ”
หนานอู๋เฮิ่นนิ่งไปแล้วจ้องนางเขม็ง ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “คำถามเหล่านี้ รอเจอกับสามยอดปราชญ์ก่อนแล้วเจ้าค่อยถามแล้วกัน”
เจียงหลีพยักหน้าไม่ถามอะไรอีก พอเข้าประตูสถาบันไป นางก็ถามขึ้นมาอีก “ท่านอาจารย์หนาน ทำไมท่านไม่กลับซีหนานไปพร้อมกันกับพวกเขาเจ้าคะ”
“ก็ข้ารอเจ้าอยู่” หนานอู๋เฮิ่นพูดตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มตาหยี
รอนาง!
เจียงหลีรู้สึกอบอุ่นหัวใจแล้วยิ้มให้กับเขา
“ใช่แล้ว ลืมบอกเจ้าไปว่าในรายชื่อลูกศิษย์ของสถาบันที่ถูกเลือกไปซีฮวงก็มีไป๋หลี่เฟิ่งอยู่ในนั้นด้วย” หนานอู๋เฮิ่นพูด
“ไป๋หลี่เฟิ่งหรือเจ้าคะ” เจียงหลีนึกชื่อนี้อยู่ครู่หนึ่งถึงนึกออกว่าคนๆ นี้เป็นใคร
ชายผู้สันโดษที่มีแววตาเย่อหยิ่งคนนั้นก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
“นึกออกแล้วรึยัง เจ้ามีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะจะลืมก็ไม่แปลก เพียงแต่ว่าตั้งแต่หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้า เขาก็ฝึกฝนอย่างหนักมาตลอด ในระหว่างที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องต่างๆ เขาก็พัฒนาไปไม่น้อย มิฉะนั้นเขาคงไม่สะสมคะแนนแล้วได้รับเลือกไวขนาดนี้” หนานอู๋เฮิ่นพูด
“อืม” เจียงหลีตอบกลับอย่างเย็นชา
หนานอู๋เฮิ่นยิ้มแล้วพูดว่า “พอให้เจ้าไปถึงดินแดนตะวันตกซีฮวง ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะได้พบกัน ข้านี่ตั้งตารอเลย ถึงตอนนั้นเจ้ายังจะสามารถเอาชนะเขาได้อยู่หรือไม่”
“ผู้แพ้ก็คือผู้แพ้ ถึงแม้ว่าข้าจะไปซีฮวงช้าสักสองสามปี เขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้” เจียงหลีพูดอย่างอวดดี
“มีความมั่นใจถือเป็นเรื่องดี!” หนานอู๋เฮิ่นหัวเราะเสียงดัง
หนานอู๋เฮิ่นพูดถึงไป๋หลี่เฟิ่งขึ้นมา กลับทำให้เจียงหลีนึกถึงอีกสามคนขึ้นมา คนแรกก็คือคุณชายรองฉินที่ในตอนนั้นยังสวมเสื้อผ้าที่สูงศักดิ์ ชุดสีแดงที่แสบตาของเขายังทำให้นางรู้สึกดีหน่อย แล้วก็มู่หว่านโหรวและมู่ชิงเหยียนที่หายไปตั้งแต่หลังจากที่ราชวงศ์โฮ่วจิ้นล่มสลาย ทั้งสามคนก็เหมือนกับหรงจิ่งเป็นยอดอัจฉริยะสิบอันดับแรกของเมืองแต่ก็มีโชคชะตาที่ต่างกัน ต่างคนต่างเดินไปตามทางของตัวเอง
ราชวงศ์โฮ่วจิ้นล่มสลาย ตระกูลหรงก็ล่มสลายตามกันมาติดๆ ตระกูลฉินก็ตกต่ำเป็นอย่างมาก ซั่งตูก็ยิ่งไร้ซึ่งเงาของฉินเทียนอี ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน
“ถึงแล้ว” เสียงของหนานอู๋เฮิ่นทำลายความคิดของเจียงหลี
เจียงหลีมองบ้านตรงหน้า มีคามแปลกใจเล็กน้อย
ใครจะไปคิด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสายตาของคนทั้งใต้หล้า กลับอาศัยอยู่ในบ้านที่ธรรมดาๆ เช่นนี้ บ้านหลังนี้ไม่ต่างอะไรกันกับกระท่อมที่อยู่ตามท้องนาแถวชนบทเลย
“ใต้เท้าทั้งสาม ข้าพาจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์จยาเซียนมาพบ” หนานอู๋เฮิ่นยืนอยู่นอกบ้าน เอ่ยขึ้นด้วยความนอบน้อม
เจียงหลียืนอยู่ข้างๆ เขา ก็ได้ทำความเคารพเช่นกัน
“เข้ามาสิ” ในบ้านมีเสียงที่เรียบนิ่งดังออกมา
พอได้ยินเสียงนี้ก็สามารถรับรู้ได้เลยว่านี่คือคนมีฝีมือ!
เจียงหลีเดินตามอยู่ข้างๆ หนานอู๋เฮิ่นเข้าไปในบ้าน การตกแต่งด้านในก็ยิ่งดูธรรมดา แต่ถึงแม้ว่าไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงามแต่กลับให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายอย่างแท้จริง
VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์