“…”
บนแท่นว่างเปล่านี้ เหลือเพียงคนจากเขาเฟิ่งอู่ซานเท่านั้น
คนจากเขาเฟิ่งอู่ซาน ต่างก็มองหน้ากัน รู้สึกอายเป็นอย่างมาก!
กำแพงอวิ๋นเมิ่งนี้จงใจทำอย่างนี้กับเขาเฟิ่งอู่ซานจริงหรือ ทำไมคนอื่นถึงได้ถูกดูดเข้าไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงคนของเขาเฟิ่งอู่ซานไว้ล่ะ
โอ๊ะ ไม่สิ คนของเขาเฟิ่งอู่ซานมีมู่ชิงเหยียนเข้าไปน่ะ
แต่!
พวกเขาล่ะ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งอย่างไรอย่างนั้นกัน หรือว่า คนที่ถูกดูดเข้าไปนั้น ต่างก็เป็นเทียนเจียวขั้นเทพ
คนจากเขาเฟิ่งอู่ซานที่เหลือ รวมทั้งศิษย์พี่เป็นเพียงแค่คนกระจอกอย่างนั้นรึ
ศิษย์ทั้งหลายจากเขาเฟิ่งอู่ซาน มีความรู้สึกว่าหน้าเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
เฟิ่งเทียนและเฟิ่งเซียนสองคนมีสีหน้าย่ำแย่ไม่แพ้กัน สายตาก็น่ากลัวเหลือเกิน ไม่เหมือนกับตอนแรกที่ดูเย่อหยิ่ง
“ข้าจะทุบกำแพงนี้ซะ!” เฟิ่งเทียนกล่าวอย่างโกรธแค้น
เฟิ่งเซียนตกใจ และกล่าวออกมาว่า “ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือ! นี่เป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์นะ! หากท่านทำลายมัน จะทำให้เขาเฟิ่งอู่ซานพบเจอแต่โชคร้าย!”
ไม่มีความรู้สึกรักใคร่เหมือนแต่ก่อนจากน้ำเสียงที่พูดออกมา
เฟิ่งเทียนเพียงแค่พูดเล่น แต่กลับถูกเฟิ่งเซียนคิดเป็นเรื่องจริงจัง สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ขึ้นอีก และจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา
เฟิ่งเซียนถูกเขาจ้องจนตัวสั่น น้ำเสียงก็เริ่มอ่อนลง “ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นเจ้าคะ…ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าท่านจะกระทำการวู่วามเจ้าค่ะ”
เฟิ่งเทียนหัวเราะ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่หุนหันพลันแล่นหรอก และจะไม่สร้างปัญหาให้กับเขาเฟิ่งอู่ซานแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เฟิ่งเซียนก็โล่งใจ
นางถามต่อไปว่า “แล้วต่อไปเราควรทำอย่างไรต่อเจ้าคะ”
“รอ” เฟิ่งเทียนหัวเราะ เขาไม่เชื่อหรอก ว่าคนที่ถูกดูดเข้าไปนั้นจะไม่กลับออกมาอีกเลย
…
เจียงหลีที่ยืนอยู่หน้ากระจกเมื่อเห็นภาพนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา นางมิได้สนใจนัก แน่นอนว่าที่นางได้นำทุกคนเข้ามาหมดนั้น มิได้เพียงแค่อยากจะทำให้เฟิ่งเทียนและเขาเฟิ่งอู่ซานอับอายแค่นั้น แต่ที่สำคัญคือแผนการที่เฟิ่งเทียนได้วางไว้ก่อนหน้านั้นต่างหาก
ถึงขนาดกล้าระดมคนจากเขาเฟิ่งอู่ซานมาเชียว อยากครอบครองทุกอย่างภายในคราวเดียวรึ คิดจริงๆ หรือว่าซีฮวงนี้เขาเฟิ่งอู่ซานใหญ่กว่าใคร เจียงหลีหันหลังและหัวเราะ
หลังจากที่เจียงหลีหันหลังไปนั้น กระจกที่สามารถมองทะลุได้ก็หายไปด้วยเช่นกัน
เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย กงเสวี่ยฮวาเคยพูดไว้ ซากกำแพงแตกหักนี้มีความเกี่ยวข้องกับกลองศิลาจารึก แต่ว่าตั้งแต่ที่นางเข้ามา กลับไม่มีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับกลองศิลาจารึกเลยสักนิด
“กลองศิลาจารึก…” เจียงหลีพึมพำ
ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกว่าใต้เท้าของนางว่างเปล่า และตกลงไปด้านล่างทั้งตัว
นางมิได้รู้สึกตกใจ แต่กลับมองซ้ายแลขวา มีภาพต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในหัวของนาง ภาพเหล่านี้…ดูเหมือนเป็นความทรงจำในกำแพงอวิ๋นเมิ่ง
ภาพเหล่านั้น กำแพงอวิ๋นเมิ่งมิได้เป็นเหมือนที่นางเห็นตอนนี้ในตอนแรก มันไม่ใช่ซากกำแพงแตกหัก แต่เป็นภูเขาสูงตระหง่านทั้งลูก
ภูเขาที่ไม่เหมือนภูเขาลูกอื่น หากจะพูดถึงความแตกต่างแล้วนั้น มันดูสูงและสง่ากว่าภูเขาลูกอื่น
มีพืชสีเขียวขจี สายหมอกล้อมรอบ และมีบุปผาหลากหลายสายพันธุ์นับไม่ถ้วนอยู่บนภูเขา ซึ่งเหมาะกับชื่อ ‘อวิ๋นเมิ่ง’ …ม่านหมอกนิมิตนี้ยิ่งนัก
อยู่มาวันหนึ่ง ท้องฟ้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน จากท้องฟ้าที่สดใสกลายเป็นมืดครึ้ม แสงสว่างก็ถูกปิดบังไปหมด และมีรอยแตกมากมายเกิดขึ้นบนท้องฟ้า
เสียงขนาดมหึมาดังออกมา!
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยรอยแตกเกิดรูออกมาอย่างกะทันหัน มีแสงสว่างจ้าตกลงมาจากรูนั่นอย่างรวดเร็ว และมีเปลวไฟอยู่ด้านหลัง ไฟนั่นยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ทำให้พื้นดินลุกเต็มไปด้วยไฟ
และไฟนั่นก็ระเบิดขึ้นท่ามกลางอากาศ แยกออกเป็นเก้าเสี่ยงและพุ่งไปยังคนละทิศทาง
หนึ่งในนั้น ก็พุ่งมายังเขาอวิ๋นเมิ่ง


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์