“ดูเหมือนว่าแชมป์คนล่าสุดจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น”
อี้หลิงค่อยๆพูดอย่างไม่เร่งรีบ “ถ้าฉันจำไม่ผิด พลังงานที่นายเพิ่งปล่อยออกมาคือกลิ่นอายเซียนโบราณใช่ไหม นอกจากนี้ยังมีพลังเทพในร่างกายของนาย นายต้องได้รับมาจากอาจารย์ของนายเยอะมากอย่างแน่นอน”
“ไม่ใช่ว่าฉันได้รับมาเยอะ แค่นายกระจอกไป” ซูผิงกล่าวอย่างใจเย็น
แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะถือว่าความแข็งแกร่งของเขาเป็นของขวัญมาจากอาจารย์ของเขา แต่ซูผิงก็ไม่คิดจะปฏิเสธ เขาไม่เคยสนใจที่จะอธิบายให้คนแปลกหน้าฟัง
ทุกคนในที่นี้มองซูผิงอย่างตะลึงงัน สงสัยว่าเขาจองหองขนาดนี้ได้ยังไง? เขาบอกว่าอันดับสามของอันดับราชาเทพอ่อนแอ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าดวงดาวคนอื่นๆ ล่ะ? พวกเขาเป็นอะไร?
อี้หลิงตกตะลึงและพูดไม่ออก แต่แล้วเขาก็ตระหนักว่าเขาจะไม่เอาชนะเด็กนี่ด้วยคำพูดได้ เขาพ่นลมหายใจและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเรามาฝึกกัน เพราะนายมีความสามารถพอ มันจะไม่ถือว่าไม่ยุติธรรม มาเถอะ”
“ไม่สนใจ” ซูผิงรีบปฏิเสธเขา
อี้หลิงไม่มีอะไรน่าท้าทายในฐานะคู่ซ้อม เขาอยากจะใช้เวลากับการบ่มเพาะมากกว่า
อี้หลิงพูดและมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นายกลัวหรอ?”
”จะคิดงั้นก็คิดไป” ซูผิงขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย
อี้หลิงสามารถสัมผัสได้ถึงความดูถูกลึกๆจากทัศนคติแบบสบาย ๆ ของซูผิงซึ่งทำให้เขาโกรธอย่างควบคุมไม่ได้ ในตอนแรกเขาเพียงแค่ต้องการประลองกับซูผิงและสัมผัสถึงความสามารถของเขา เนื่องจากระดับของเขาสูงขึ้น เขาจะสามารถเห็นทิศทางการบ่มเพาะของซูผิงได้หากพวกเขาสู้กัน และจากการประมาณการความเร็วของชายหนุ่ม
ท้ายที่สุดแล้ว เส้นทางของเหล่าอัจฉริยะคล้ายกันมาก
อย่างไรก็ตาม การปะทะกันครั้งก่อนของพวกเขาได้แสดงให้เห็นว่าซูผิงจะไม่ได้จัดการได้ง่ายอย่างที่คิด นอกจากนี้ยังพิสูจน์ด้วยว่าชายหนุ่มสามารถเอาชนะอันดับที่สิบของอันดับราชาเทพได้จริงๆในขณะที่อยู่ใรระดับต่ำกว่า
”งั้น…”
อี้หลิงพ่นลมและกำลังจะท้าทายซูผิง เขาจะไม่ถอยกลับอีกต่อไปเนื่องจากเขาได้เริ่มแล้ว และเขาก็ไม่กลัวตัวตนของซูผิงเช่นกัน เขาจะกลายเป็นลอร์ดสวรรค์ที่แม้แต่ยอดฝีมือเทพอมตะก็ยังจะอยากได้มาเป็นลูกน้องเมื่อเขาไปถึงสภาวะเทพดวงดาว จากนั้นเขาก็จะได้รับการคุ้มครองจากยอดฝีมือที่แท้จริง นั่นคือไพ่ใบสำคัญและความมั่นใจของอัจฉริยะระดับแนวหน้า ซึ่งช่วยให้พวกเขานิ่งได้แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับสภาวะเทพอมตะ
มีคนหัวเราะเยาะก่อนที่อี้หลิงจะท้าทายอีกครั้ง “ไง ทุกคน กำลังฝึกกันอยู่หรอ? พอใจไหม?”
ทุกคนเห็นชายชราบินลงมาระหว่างซูผิงและอี้หลิง เขาเป็นยอดฝีมือสภาวะเทพดวงดาวที่มีผมและเคราเป็นสีขาวล้วน
“ผู้อำนวยการยู่!”
ลูกหลานตระกูลโหลวหลานรีบคำนับชายชรา
ซูผิงเหลือบมองผู้อาวุโสที่ยิ้มแย้มซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าชายชราก้าวเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ ซูผิงไม่คิดว่าอี้หลิงเป็นภัยคุกคาม ในทางกลับกันเขาสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรของชายชรา เขาพยักหน้าและพูดว่า “สวัสดีครับ”
”คุณซูเป็นแขกของตระกูลเรา เป็นความจริงที่อัจฉริยะมักสร้างความแตกต่างให้ตัวเองตั้งแต่เด็ก อย่าลังเลที่จะติดต่อหลินหากคุณมีคำถามใด ๆ ” ผู้อำนวยการยู่กล่าว
จากนั้นเขาก็หันกลับมาและพูดกับอี้หลิงด้วยรอยยิ้มว่า “คุณอี้ ผมแน่ใจว่าการเดินทางไกลของคุณคงจะน่าเบื่อ พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนดีกว่า
การแสดงออกของอี้หลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นเขาก็พ่นลมหายใจ เขาสัมผัสได้ถึงความลำเอียงของชายชราที่มีต่อซูผิง อย่างไรก็ตามเขาสามารถเข้าใจการตัดสินใจของชายชราได้ เนื่องจากท้ายที่สุดซูผิงได้ยอมรับคำเชิญของโหลวหลาน ซึ่งเขาปฏิเสธไปก่อนหน้านี้
ตระกูลโหลวหลานขอร้องเขาด้วยวิธีต่างๆ เพื่อที่จะมีปฏิสัมพันธ์กัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาปรากฏตัวที่งานกาล่านี้
“ผมจะไม่กดดันเรื่องนี้ในเมื่อคุณมาถึงแล้ว คุณอวี่ เขาเป็นแค่นักรบระดับดวงดาว การกลั่นแกล้งเขาไม่สนุกเลย ผมหวังว่าเขาจะไปถึงสภาวะเทพดวงดาวเมื่อเราพบกันอีกครั้ง ผมจะรอดูว่าเขาสามารถไปถึงสภาวะเทพดวงดาวภายในพันปีได้ไหม? ฮา ฮ่า!”อี้หลิงเยาะเย้ยแล้วจากไป
ผู้ติดตามของเขาทั้งชายและหญิงมองซูผิงแปลก ๆ จากนั้นก็ตามชายคนนั้นไป
พวกเขาไม่ใช่ไร้ตัวตน ตระกูลโหลวหลานสังเกตว่าทั้งคู่มีอันดับสูงสุดในอันดับราชาเทพ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาถูกบดบังอย่างสมบูรณ์เมื่อยืนอยู่ข้างอี้หลิง ไม่มีมีใครสนใจพวกเขา
”คุณซู เราจะจัดเตรียมที่นั่งที่ดีที่สุดให้คุณถ้าคุณต้องการบ่มเพาะ คุณสามารถบ่มเพาะที่นี่ได้ทุกเมื่อ”ผู้อำนวยการยู่กล่าวและหัวเราะคิกคัก
ฝูงชนเริ่มกระซิบกันหลังจากได้ยินข้อความดังกล่าว
“ที่นั่งที่ดีที่สุดหรอ? มันไม่ได้เป็นของเจวี่ยเหรอ?”
“เจวี่ยเป็นอัจฉริยะที่เก่งที่สุดของตระกูลเรา สมควรหรือไม่ที่จะมอบที่นั่งนั้นให้คนนอก?”
“ฉันก็ถามตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน…”
ลูกหลานของโหลวหลานมองไปที่ชายหนุ่มในฝูงชนซึ่งตัวสูงและหล่อเหลา ตอนนี้เขาดูมึนงง เห็นได้ชัดว่าประหลาดใจ เพื่อนที่อยู่รอบๆ ของเขาบ่นเสียงเบา ไม่อยากให้เขายอมสละที่นั่งให้คนนอก
“ฉันจะเตรียมที่อื่นให้เจวี่ยจู ตระกูลกำลังวางแผนที่จะส่งเขาไปบ่มเพาะในระนาบดวงดาว.ไม่ต้องห่วง” ผู้อำนวยการอวี่กล่าวขณะมองดูฝูงชน เขาดูไม่ค่อยพอใจ แต่ไม่มีความโกรธของออกมาขณะที่เขาได้ยินเรื่องร้องเรียน
เขาไม่ได้พูดคุยกับตระกูลเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ แต่เขาเชื่อว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนเมื่อรายงานในภายหลัง ท้ายที่สุด การแสดงพลังเมื่อไม่นานนี้น่าตกใจเกินไป แม้แต่กับคนอย่างเขา
คนที่เห็นเหตุการณ์ไม่เห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน แม้แต่อี้หลิงก็ยังไม่เห็นพลังที่แท้จริงของซูผิง อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ที่มากพอของชายชราในฐานะผู้อำนวยการของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะนั้น เขาสังเกตเห็นพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาของซูผิง รวมถึงโลกใบเล็กของเขาและกฎมากมายนั้น
เขาตกใจมาก เขาไม่เคยเห็นโลกใบเล็กที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นมาก่อนตลอดชีวิต 100,000 ปีของเขา อย่างน้อยที่สุด มันก็แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบกว่าโลกใบเล็กของอี้หลิง
นี่หมายความว่าซูผิงจะเอาชนะอี้หลิงได้อย่างแน่นอนเมื่อเขากลายเป็นเจ้าดวงดาว!
นอกจากนี้ แม้ว่าซูผิงจะต่อสู้กับอี้หลิง เขาก็จะพ่ายแพ้แค่เพราะขาดพลังงาน อย่างไรก็ตามข้อเสียเปรียบดังกล่าวไม่ปรากฏชัดในการปะทะครั้งก่อน กลิ่นอายเซียนที่ซูผิงปล่อยออกมานั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังดวงดาวถึงแปดเท่า และเขาสะสมมันไว้มากมายในร่างกายของเขา อันที่จริงพลังนั้นถือเป็นการสิ้นเปลือง แต่เขาสามารถใช้มันได้อย่างฟุ่มเฟือยด้วยสถานะของเขาในฐานะศิษย์ของยอดฝีมือสภาวะเทพอมตะ เขาจะไม่พ่ายแพ้หากการต่อสู้ของพวกเขาจบลงอย่างรวดเร็ว!
หากข่าวแพร่ออกไป ผู้อำนวยการอวี่รู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ชายชราทุกคนที่ต่อต้านการเชิญซูผิงมาเงียบไป
เขาย่อโลกใบเล็กได้ตั้งแต่อยู่สภาวะชะตากรรมและท้าทายสิบอันดับแรกของอันดับราชาเทพได้ มีอุปสรรคเพียงอย่างเดียวที่รออยู่ข้างหน้าสำหรับเด็กคนนี้ ซึ่งคือการพัฒนาไปสู่สภาวะเทพดวงดาว เขาจะไร้เทียมทานเมื่อเขากลายเป็นสภาวะเทพดวงดาว เป็นไปได้ว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งในลอร์ดสวรรค์ที่เก่งที่สุด แม้แต่เทพอมตะก็ยังยากที่จะฆ่าเขาได้! ยิ่งผู้อำนวยการอวี่คิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ตระกูลโหลวหลานไม่มีอัจฉริยะที่เก่งกาจขนาดนี้!
หากพวกเขามีลอร์ดสวรรค์ที่โดดเด่นอีกสักคนหนึ่ง ตระกูลก็จะสามารถขยายอิทธิพลออกไปได้อีก!
“หลิน คอยดูแลคุณซูด้วย” ผู้อำนวยการยู่พูดกับโหลวหลานหลินอย่างครุ่นคิด จากนั้นเขาก็หายตัวไป
โหลวหลานหลินเป่าแก้มของเธอในขณะที่มึนงงเล็กน้อย การพูดคุยเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอชอบทำ อย่างไรก็ตามเธอทึ่งในตัวซูผิงเมื่อนึกถึงการเผชิญหน้าของเขากับอี้หลิง เป็นไปได้จริง ๆ หรอที่จะทำอย่างนั้นในขณะที่อยู่ในระดับดวงดาว? ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะอยู่ในอันดับสูงสุดของอันดับราชาเทพเลยไหมเมื่อเขากลายเป็นเจ้าดวงดาว?
ดวงตาของเธอเป็นประกายกับความคิดนี้
ซูผิงทำได้เพียงถามโหลวหลานหลิน เนื่องจากชายชราจากไปแล้ว “อืม… ที่นั่งที่ดีที่สุดอยู่ไหน?” . ปัญหาทั้งหมดได้รับการแก้ไขแล้ว เขาเพียงต้องการบ่มเพาะและรวบรวมดวงดาวของเขาเท่านั้น
ในขณะที่ตกตะลึงชั่วครู่ โหลวหลานหลินก็ชี้นิ้วของเธอ “มันอยู่ตรงนั้น ที่นั่งที่ดีที่สุดอยู่ที่แกนกลางของภูเขา การบ่มเพาะมีประสิทธิภาพมากกว่าในภายนอกสิบเท่า
ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย ด้านนอกก็มีประสิทธิภาพเท่ากับห้องฝึกของเขาในสภาเทพอมตะแล้ว มันจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีประสิทธิภาพมากกว่าสิบเท่า?
เป็นที่น่าสังเกตว่าความหนาแน่นของพลังงานดาวในพื้นที่นั้นสูงกว่าที่อื่นถึงสิบเท่า!
เป็นความจริงที่ตระกูลใหญ่มีทรัพยากรมากมาย ซูผิงตั้งข้อสังเกตในใจ เขาประเมินว่ามีการใช้หินดวงดาวจำนวนมหาศาลเพื่อรองรับค่ายกล มีเพียงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลโหลวหลานเท่านั้นถึงสามารถจ่ายได้โดยที่ยังไม่ล้มละลาย
“สภาวะเทพดวงดาวจะไม่แอบดูผู้บ่มเพาะในระหว่างการฝึกใช่ไหม?” ซูผิงถาม
โหลวหลานหลินตะลึงและตอบแบบโกรธๆว่า “คุณคิดว่าตระกูลของฉันเป็นยังไง? ทำไมพวกเขาถึงต้องทำอย่างนั้น? นอกจากนี้คุณคือแขกของตระกูลเรา พวกเขาเคารพคุณมากพอ”
ซูผิงไม่ได้พูดอะไร และไปที่ที่นั่งที่ดีที่สุด เขาสามารถบอกได้ว่าลูกหลานของตระกูลทุกคนกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ พวกเขาได้แต่มองสิ่งนี้ขณะที่เขาขโมยที่ของคนอื่น อย่างไรก็ตามมันเป็นการตัดสินใจของชายชราคนนั้น ดังนั้นซูผิงจึงไม่สนใจ ทุกอย่างโอเคหมดตราบใดที่เขามีที่บ่มเพาะ
ซูผิงเข้าไปในบริเวณที่นั่งที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นค่ายกลดวงดาวที่ซับซ้อน โขดหินรอบๆ ตัวเขาถูกจัดเรียงเป็นรูปดอกบัว ฝุ่นดวงดาวตกลงมาจากท้องฟ้า รวมตัวกันเป็นชั้นหนาบนพื้น
ทันทีที่ก้าวเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าพลังดวงดาวไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาราวกับน้ำทะเล ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า พลังดวงดาวหนาแน่นมาหจริงๆ…
“ผมจะบ่มเพาะที่นี่ บาย” ซูผิงกล่าวกับโหลวหลานหลิน
เธอไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนบอกลาก่อน มันทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ.. จากนั้นเธอก็สูดลมหายใจและพูดว่า “บาย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว