ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว นิยาย บท 1019

ซูผิงไม่หยุด เขายังคงเดินต่อไป
  เสียงเหล่านั้นค่อย ๆ จางหายจนไม่ได้ยินอีกต่อไป ซูผิงไม่รู้ว่าผู้ดูแลถานพาเขามาที่นี่ตอนไหน เธอคงรู้สึกว่าความคิดที่ฝังไว้อยู่ของเธอถูกกระตุ้นแล้ว จิตใจของเขาจะเป็นอิสระถ้าเธอพาเขาออกจากทะเลมายา
  มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ ตระกูลโหลวหลานไม่ได้ทำการสำราจก่อนเลยหรอ?ฉันได้ยินว่าปัญญาประดิษฐ์ของสหพันธ์ได้สอดส่องทะเลมายาอยู่ตลอด มันต้องส่งสัญญาณเตือนแล้วสิถ้ามีอะไรผิดปกติ
  ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย เขาสังเกตเห็นว่าหมอกลดลง มันมืดเล็กน้อยราวกับว่าปนเปื้อนด้วยหมึก
  ตอนนั้นเองที่ภาพมายาของต้นไม้และชายชราปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายชราโบกมือให้ซูผิง
  “เพื่อนตัวน้อยของข้า คลื่นแห่งความโสมมกำลังจะมา มานี่สิ”
  โจแอนนาปรากฏตัวข้างชายชราก่อนที่ซูผิงจะตอบ เธอมองเขาเงียบ ๆ ด้วยสายตาที่เป็นกังวล
  การแสดงออกของซูผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
  “เพื่อนตัวน้อยของข้า เจ้าไม่เต็มใจที่จะเชื่อใจเราจริงๆ หรอ?” ชายชราตะโกนไล่หลังซูผิง
  ซูผิงไม่ได้มองย้อนกลับไป แต่แล้วบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ซึ่งมีโครงกระดูกที่น่าเกรงขามนั่งอยู่ มันมองลงมาที่ซูผิงอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่ได้ต้องการแสดงตัว แต่เจ้าดื้อรั้นเกินไป เจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรจริงและอะไรไม่จริง”
  รูม่านตาของซูผิงจ้องเขม็ง เขาคุ้นเคยกับโครงกระดูกและบัลลังก์นี่มากเกินไป มันเป็นลอร์ดที่น่าสะพรึงกลัวที่เขาพบในการเดินทางครั้งแรกของเขาตอนไปยังอาณาจักรโกลาหลแห่งอันเดธ หลังจากที่เขาได้รับระบบ ผลึกเลือดที่เขามอบให้โครงกระดูกน้อยกินก็ถูกขโมยมาจากลอร์ดคนนี้
  “เชื่อใจเรา เราจะไม่ทำร้ายเจ้า” ชายหนุ่มกล่าวขณะที่เขาปรากฏตัวถัดจากราชาโครงกระดูก เขามีรูปลักษณ์ที่น่ากลัวน้อยกว่าและคุ้นเคยมากกว่า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากที่ปรึกษาที่สอนซูผิงในสถาบันวิถีสวรรค์ในแดนเทพอาเคี่ยน
  “ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจพวกเขา เจ้าจะเชื่อใจสถาบันวิถีสวรรค์ไม่ได้หรือ? เจ้าคงจะตายไปแล้วถ้าเราต้องการจะฆ่าเจ้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงข่มขู่ และภาพมายาอันน่าเกรงขามก็ปรากฏขึ้นด้านหลังชายหนุ่ม ซึ่งไม่ได้น่ากลัวไปกว่าโครงกระดูกที่น่าสะพรึงกลัว
  การแสดงออกของซูผิงเปลี่ยนไป ภาพมายาที่เขาเห็นในสนามบ่มเพาะไม่ควรปรากฏที่นี่ แต่พวกมันให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก กลิ่นอายของพวกเขาทำให้เขาขนลุกราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับพวกเขาในชีวิตจริง
  ทำไมในใจฉันถึงมีคนมากมายขนาดนี้ ฉันเคยเจอพวกเขาเพียงครั้งเดียว พวกเขาควรจะส่งพ่อแม่หรือน้องสาวของฉัน หรือแม้แต่อสูรของฉันมา ถ้าพวกเขาต้องการหลอกฉัน… สีหน้าของซูผิงเปลี่ยนไป เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เลือกที่จะเดินไปทางอื่น
  ราชาโครงกระดูกและร่างพร่ามัวที่อยู่ข้างหลังเขาเปล่งเสียงเย็นชา บางคนดูผิดหวังอย่างมาก ในขณะที่บางคนส่ายหัวและถอนหายใจ
  “นั่นคือผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุดหรอ? เฮอะ!”
  “เรารอมาหลายพันล้านปีแล้ว คิดว่าเขาจะเป็นแสงแห่งความหวังของเรา น่าผิดหวังจริงๆ!”
  ซูผิงไม่ได้หันกลับไปมอง เขายังคงก้าวไปข้างหน้า
  หมอกหนาทึบรอบตัวเขาพลันพุ่งขึ้นราวกับกระแสน้ำ ราวกับถูกผลักโดยบางสิ่ง
  ซูผิงถูกจับโดยไม่ได้เตรียมตัว เขาพยายามที่จะต่อต้าน แต่หมอกก็พุ่งเข้ามาหาเขาเหมือนกำแพง เขารู้สึกหายใจไม่ออก ราวกับว่าตกลงไปในทะเลลึก—เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดรอบตัวเขา
  ซูผิงได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงคำรามที่เหมือนเสียงร้องของสิ่งมีชีวิตบางชนิดมาจากส่วนลึกของหมอก
  เขาพยายามดิ้นรนเพื่อขจัดหมอกรอบๆ ตัวเขา แต่หมอกก็รวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเขาก็เห็นเงาที่น่าสะพรึงกลัวมากมายผ่านไปมา
  มีเสียงดังเอี๊ยดๆ คล้ายกับเสียงแมลงมาจากด้านหลังของเขา
  ซูผิงควบแน่นดาบด้วยพลังจิตและฟันไปทางพวกมัน ดูเหมือนว่าเขาจะโดนอะไรบางอย่างขณะที่ได้ยินเสียงร้องออกมา สิ่งมีชีวิตนั้นดูโกรธจัด หมอกเพิ่มขึ้นอีกครั้งและเงาขนาดมหึมาก็พุ่งเข้ามาใส่เขา
  ซูผิงเห็นปากที่น่ากลัวผลักหมอกออกไปและพยายามกลืนเขาทั้งตัว
  เขารีบสร้างดาบพลังจิตแล้วฟันเข้าที่ปาก
  ปากตอบสนองอย่างรวดเร็ว บดขยี้ดาบพลังจิตจนเป็นชิ้นๆ
  ร่างกายของซูผิงกำลังจะเข้าไปในปาก แต่แล้วข้อมือของเขาก็รู้สึกเย็น มือที่เย็นและนุ่มจับข้อมือของเขาแล้วดึงเขาไปด้านข้าง ช่วยเขาให้พ้นจากปากที่ชั่วร้าย จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาถูกเจ้าของมือดึงตามไป
  เขาคือผู้ดูแลถานใช่ไหม ซูผิงรู้สึกมึนงงในขณะที่เขาสัมผัสได้ว่ามือนี้เป็นมือของผู้หญิง
  ทั้งสองคนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วมาก หมอกหนาปกคลุมใบหน้าของเขาขณะเคลื่อนไหว ซูผิงไม่รู้ว่าทำไมผู้ดูแลถานถึงมานี่ และเขาก็ไม่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้ ถึงกระนั้นเธอก็ช่วยเขาจากสัตว์ประหลาดตัวนั้น ดังนั้นเธอจึงไม่มีเจตนาร้าย
  หมอกบังภาพด้านหลัง ซูผิงได้ยินเสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดขณะที่เขาถูกดึงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานเสียงกรีดร้องก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซูผิงรู้สึกว่าเขากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ไม่สามารถจินตนาการได้
  ไม่นานหลังจากนั้น คนที่ช่วยชีวิตเขาก็ค่อยๆ หยุดลง
  หมอกที่หมุนวนค่อย ๆ ช้าลง ซูผิงขอบคุณเธออย่างรวดเร็วและถามด้วยความไม่แน่ใจ “คุณคือผู้ดูแลถานใช่ไหม?”
  หมอกที่อยู่ด้านหน้าของซูผิงค่อยๆสลายหายไปหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เผยให้เห็นถึงร่างของหญิงสาวสวยที่มีผมสีบลอนด์ เธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโจแอนนา
  ซูผิงตกตะลึงครู่หนึ่ง แต่ก็ค่อยๆหายไป
  เสียงอบอุ่นดังมาจากที่ไหนสักแห่งจากด้านหลังโจแอนนา “เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว”
  หมอกหนากระจาย เผยให้เห็นร่างที่ถูกซ่อนไว้ พวกเขาทั้งหมดเป็นเทพผมสีบลอนด์ คนที่อยู่ตรงกลางเป็นผู้หญิงร่างยักษ์ที่สวมชุดคลุมหรูหรา หางยาวจนดูเหมือนหางฟีนิกซ์ เทพคนอื่นข้างๆ เธอตัวเล็กเท่ามือของเธอ ซูผิงสามารถเห็นทุกริ้วรอยบนใบหน้าของหญิงชราได้อย่างชัดเจน
  เหล่าเทพที่อยู่ถัดจากหญิงชรากำลังกระซิบคุยกัน
  “เขาคือผู้สืบทอด?”
  “เขาอ่อนแอมาก ไม่มีทางเป็นเขาได้ใช่ไหม?”
  “การที่เขาอ่อนแอในตอนนี้ไม่เกี่ยวสักหน่อย อย่าเมินเขา”
  ซูผิงทั้งตกใจและสงสัย นี่เป็นภาพยายาหรือมันเป็นเรื่องจริง?
  ซูผิงมองไปที่โจแอนนาและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เธอเป็นใครกันแน่?”
  โจแอนนามองเขาอย่างอ่อนโยน ซูผิงไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้มาก่อน มันเป็นความปรารถนาลึก ๆ ในใจของเขาหรือเปล่า? แต่ความรู้สึกตอนที่ข้อมือของเขาถูกจับกลับให้ความรู้สึกเหมือนจริงเหลือเกิน
  ภาพมายาที่นี่สมจริงมากจนแยกจากของจริงไม่ออกเลยหรอ?
  อย่างไรก็ตาม เขามั่นใจว่าโจแอนนาอยู่ในร้านของเขา เธอไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ได้
  ทุกสิ่งที่เขาเห็นเป็นภาพมายา
  อย่างไรก็ตามซูผิงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงแตะตัวเขาได้ คำอธิบายเพียงอย่างเดียวคือประสาทสัมผัสของเขาถูกภาพมายากั้นไว้ด้วยเช่นกัน
  ภาพมายาบางอย่างอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือถึงตายได้ ถ้าสมองตายในภาพมายา มันก็จะตายในความเป็นจริง สมองจะคิดว่ามันตายแล้วและจะหยุดการทำงานของร่างกายทั้งหมด
  ถ้านี่เป็นภาพมายา แล้วคนพวกนี้ที่ฉันไม่รู้จักล่ะ ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ในจิตใต้สำนึกของฉัน? การต่อสู้ระหว่างผู้กลืนกินทมิฬกับชายหนุ่มลึกลับมีจริงไหม?
  ซูผิงเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
  หญิงชราจ้องมาที่ซูผิงอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “อย่ากลัวไปเลย ที่นี่ปลอดภัย วิญญาณเหล่านั้นจะไม่กล้าเข้ามาใกล้ เจ้าอาจกลับไปได้เมื่อคลื่นสงบลง เราจะรวบรวมวิญญาณบางส่วนให้เจ้าดูซับ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือบ่มเพาะที่นี่”
  ซูผิงมองอย่างเย็นชาและยังคงเงียบ
  หญิงชราคนนั้นดูค่อนข้างสดใส แต่เขากลับมองว่าเธอเป็นภาพมายา เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด
  นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของทะเลมายาใช่ไหม? ไม่น่าแปลกใจที่เทพอมตะต้องคิดทบทวนถึงสองครั้งก่อนจะเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย
  สหพันธ์มีประชากรจำนวนมากที่ผู้คนนับไม่ถ้วนจะถูกฆ่าตายในทุกระบบสุริยะ ถ้าคนเหล่านั้นถูกส่งไปเป็นหน่วยสอดแนม พวกเขาจะสามารถสำรวจมิติที่ไม่รู้จักได้ นอกจากนี้สหพันธ์ยังมีกองทัพและนักวิทยาศาสตร์มากมาย เป็นเรื่องน่าสงสัยที่รู้ว่าทะเลมายายังคงไม่ถูกตรวจสอบ
  ตั้งสมาธิ ไม่มีอะไรจริง
  ซูผิงสงบลงและความวิตกของเขาก็หายไป เขาค่อย ๆ เพ่งความสนใจ
  เทพสองสามองค์ปรากฏในสายหมอกหลังจากนั้นครู่หนึ่ง พร้อมวิญญาณสองดวง
  ซูผิงค่อยๆลืมตาขึ้น เขาสูดหายใจเข้าลึก และครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมายขณะที่มองเทพที่เหมือนมีชีวิตและโจแอนนาที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
  อะไรจริงและอะไรไม่จริง?
  สิ่งไม่จริงเหล่านี้ให้ความรู้สึกเหมือนจริง
  กระนั้นบางสิ่งที่เป็นจริงก็จับต้องไม่ได้เมื่อดวงจันทร์สะท้อนบนผืนน้ำ
  ภาพมายา… ภาพมายา…
  สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการของฉันอย่างงั้นหรอ?
  เขารู้สึกสงบเมื่อมองร่างของวิญญาณทั้งสอง หากภาพมายามีอยู่จริงพอๆ กับความเป็นจริงและสามารถทำให้เกิดความรู้สึกที่แท้จริงได้ ถ้าเช่นนั้น… สิ่งเหล่านี้คือภาพมายาหรือเปล่า?
  อะไรคือความแตกต่างระหว่างมายากับความจริง?
  ความจริงเป็นสถานที่สำหรับการดำรงอยู่ที่แท้จริงหรือไม่?
  แล้วการดำรงอยู่ดังกล่าวเป็นความรู้สึกส่วนตัวหรือข้อเท็จจริงเชิงวัตถุในจักรวาล?
  ถ้ามันเป็นความรู้สึกส่วนตัว ทุกสิ่งที่เขาเห็นนี้ก็เป็นเรื่องจริง!
  หากสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงที่เป็นรูปธรรมในจักรวาล จักรวาลนั้นมีจริงหรือไม่? เขาจะยืนยันได้อย่างไรว่าจักรวาลมีจริง? ขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนตัวหรือจินตนาการของเขาเหรอ?
  ซูผิงก้มหน้าลง จ้องร่างทั้งสองเป็นเวลานาน
  เหล่าเทพรอบๆ ตัวเขามองมาที่เขาเงียบๆ
  อีกสักพักใหญ่ๆ
  หลังจากนั้นไม่นาน…
  ซูผิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอด ค่อยๆ เข้าถึงแนวคิดใหม่อันน่าทึ่ง
  ภาพมายาก็มีจริงเช่นกัน ความจริงและมายาเป็นสิ่งเดียวกัน
  ภาพสะท้อนในน้ำดูเหมือนจะเป็นภาพมายา แต่มีอยู่จริง พวกมันเป็นแค่ ‘มุมมอง’ แต่ไม่ใช่วัตถุในตัวเอง…
  หากมีอีกโลกหนึ่งที่อยู่เหนือความเป็นจริง นั่นก็คือโลกมายา!
  ภาพสะท้อนของโลก…
  ซูผิงเข้าใจอะไรบางอย่างในทันใด: เขารู้วิธีย่อโลกใบที่สองแล้ว!
  โลกมายา!
  โลกที่สร้างจากภาพมายา!
  บูม!
  จิตใจของเขาสั่นคลอนเมื่อเขาตรัสรู้ จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มร้อน ความรู้สึกนั้นค่อนข้างไม่สมจริง ราวกับมีเยื่อหุ้มปิดผิวของเขา เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเหล่านี้ แต่มีบางอย่างหยุดเขาไว้
  ทุกอย่างไม่จริง ทุกอย่างจริง…
  ในการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนและค่อยเป็นค่อยไป ดวงตาของเขาชัดเจนและคมชัดขึ้น เขามองร่างทั้งสองบนพื้นแล้วยื่นมือออกไป วังวนที่ดูเหมือนหลุมดำปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ดูดซับร่างวิญญาณและแปลงเป็นพลังงานจำนวนมาก เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าประสาทสัมผัสของเขาได้รับการพัฒนาอย่างไร
  แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นภาพมายา แล้วยังไงล่ะ? ฉันยังสามารถคืนชีพได้หากฉันตายในภาพมายา!
  หากร่างกายของฉันถูกหลอกให้ฆ่าตัวตายในภาพมายา ก็สามารถถูกหลอกให้มีชีวิตนิรันดร์ได้เช่นกัน!
  อย่างไรก็ตาม การทำงานของร่างกายต้องการพลังงานจริง พลังงานของภาพมายาสามารถหลอกใจฉันได้ แต่ไม่สามารถพัฒนาร่างกายของฉันในความเป็นจริงได้ ฉันไม่สามารถรับพลังงานที่แท้จริงจากโลกมายานี้… แล้วพลังงานมาจากไหน? จักรวาล? หรือมาจากทะเลมายานี้?
  ขณะที่อยู่ในภวังค์ ซูผิงรู้สึกว่าเขากำลังเข้าใกล้ความจริงหลักของทะเลมายา
  บางทีทะเลมายาอาจมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล เพียงแต่ว่าไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยวิธีการปกติ
  มันเหมือนกับที่ผู้คนไม่รู้จักออกซิเจนจนกระทั่งมีการประดิษฐ์อุปกรณ์ขึ้นมา แต่ตัวมนุษย์เองก็เคยใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่ามันคือออกซิเจนมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
  เพียงเพราะบางสิ่งมองไม่เห็นหรือตรวจจับไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง!
  พลังนั่นเป็นพลังงานที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ในทะเลมายาหรอ? ดวงตาของซูผิงเป็นประกาย
  เขาไม่สามารถยืนยันการคาดเดาของเขาได้หากไม่ออกไป
  เขามองเทพตรงหน้าเขาและถามว่า “ยังมีวิญญาณอีกไหม?”
  ชายชรายิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “แน่นอน เจ้าไปจับมาสักสองสามตัว ไม่สำคัญว่ามันจะใหญ่แค่ไหน!”
  “ตกลง” เทพสองสามองค์ที่ซ่อนตัวอยู่พูดแล้วจากไป
  กลิ่นอายของพวกเขาเหนือกว่าเทพดวงดาว ซูผิงรู้สึกว่าพวกเขาคล้ายกับอาจารย์ของเขาหรือแข็งแกร่งกว่า
  “ทางออกอยู่ที่ไหน? คุณต้องรู้ใช่ไหม?” ซูผิงถามด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
  หญิงชราพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน ถ้าเจ้าต้องการออกไป เราสามารถพาเจ้าไปได้ตลอดเวลา มันถือว่าอันตรายมากที่เจ้ามาที่นี่ด้วยระดับปัจจุบัน โชคดีที่เรายังอยู่รอบนอกและพวกนั้นไม่สังเกตุเห็นเจ้า มิฉะนั้น…”
  “พวกนั้น?”
  แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นภาพมายา แต่ซูผิงก็ยังคุยกับเธออย่างมีความสุข
  “เป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะไม่รู้จักชื่อของพวกนั้น มิฉะนั้นเจ้าจะถูกสังเกตุเห็นในที่สุด เจ้าจะเป็นจุดสนใจของพวกเขาเพียงแค่อ่านชื่อพวกเขา…” หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
  ซูผิงหัวเราะ ตัดสินใจไม่ถามต่อ ตามที่เขาเข้าใจ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงที่ไม่รู้จักและเทพแปลก ๆ ถึงอยู่ที่นั่น..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว