ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว นิยาย บท 389

ตอนที่ 389 การรวมตัวของห้าตระกูลใหญ่
  ถังยู่หรานรู้สึกเหมือนเธอไม่เคยรู้จักซูผิงฉันประเมินนายไว้สูงอยู่ตลอด แต่ก็พบว่ายังประเมินนายต่ำไป!
  นั่นคือความรู้สึกของถังยู่หรานอย่างแรก นักรบอสูรกิตติมศักดิ์มาเพื่อมอบบางสิ่งบางอย่างให้กับซูผิง จากนั้นนักรบอสูรกิตติมศักดิ์สองคนก็มามอบของขวัญให้กับซูผิงและปรมาจารย์ดาบก็ยังสนิทกับเขา
  ยิ่งคิดเรื่องนี้เธอก็ยิ่งงุนงง
  ”ไม่มีอะไรอีกแล้ว?”ซูผิงถาม
  โจวเทียนกวงและผู้อาวุโสจ้องหน้ากันด้วยความสิ้นหวังเลือดมังกรสองหลอดมีค่าอย่างไม่น่าเชื่อ ซูผิงจะไม่พอใจได้ยังไง? “ คุณซู คุณต้องการอะไร?” เมื่อระงับความโกรธของเขาลง โจวเทียนกวงก็ฉีกยิ้ม
  ซูผิงเป็นผู้ชายที่สามารถโค่นทั้งตระกูลได้ด้วยตัวเขาคนดียวไม่ว่าซูผิงจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่สามารถโต้เถียงกับเขาได้ ทางเลือกเดียวของพวกเขาคือยอม
  “ผมไม่ต้องการเลือดมังกร เอากลับไป และเอาอย่างอื่นมาให้ผม” ซูผิงกล่าว
  ทั้งสองพูดไม่ออกถังยู่หรานอ้าปาก จ้องเขาตาไม่กะพริบ เขาไม่ต้องการเลือดมังกร? เลือดมังกรเป็นทรัพย์สินล้ำค่าสำหรับเจ้าของมังกร!
  ซูผิงดูเหมือนจะไม่ชอบเลือดมังกรจริงๆทั้งสองคนจากตระกูลโจวรู้สึกงง “ครับ”
  โจวเทียนกวงยอมรับ
  ภายในเขารู้สึกอึดอัดใจอย่างอื่น? เป็นเรื่องยากที่จะหาสิ่งที่สามารถทัดเทียมเลือดมังกรได้ สิ่งเดียวที่สามารถเทียบกับเลือดมังกรได้ก็คือสิ่งที่แม้แต่ตระกูลของพวกเขาก็ยังหาได้ยาก
  แต่นั่นเป็นมรดกตกทอดของตระกูลพวกเขาไม่สามารถให้สิ่งนั้นได้
  ลำบากแล้ว
  “ในเมื่อพวกคุณมาแล้วก็นั่งก่อนซิ รอจนกว่าคนอื่น ๆ จะมา แล้วเราค่อยมาเริ่มประชุมกัน” ซูผิงกล่าว ตระกูลโจวนับเป็นตระกูลแรกที่มาถึง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจมากกว่าเมื่อเทียบกับตระกูลอื่น ๆ นอกจากนี้เลือดมังกรยังหายาก เขาคงอยากได้มันถ้าไม่ใช่เพราะเขามีสนามบ่มเพาะ
  เขาไม่รู้ว่าตระกูลโจวได้มันมาจากที่ไหนแต่ต้องหามาได้ยากแน่ๆ “ ครับ”
  ”คุณซูผมเห็นว่าคุณยังทานอาหารกลางวันอยู่ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะครับ”
  ทั้งสองรู้สึกโล่งใจที่ซูผิงไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูพวกเขาพยายามพูดคุยกันแบบสบาย ๆ
  ซูผิงพยักหน้าและพูดกับถังยู่หรานว่า“ดูแลพวกเขา อย่าไปไหน ฉันจะไปทานอาหารกลางวันให้เสร็จ อีกสักครู่ฉันจะกลับมา”
  ถังยู่หรานพยักหน้ารับ
  ในตอนนั้นทั้งสองคนจากตระกูลโจวสังเกตเห็นว่าถังยู่หรานดูหน้าคุ้นๆโจวเทียนกวงนึกอะไรออก ความประหลาดใจเข้ามาในดวงตาของเขา
  แต่ในไม่ช้าเขาก็ปกปิดความประหลาดใจด้วยท่าทางธรรมชาติ
  ซูผิงกำลังจะกลับบ้านและเห็นชายในชุดสูทสีดำยังคงยืนอยู่ข้างประตู “ คุณต้องการอะไรอีกไหม?”
  “เอ๊ะไม่ครับ”
  “โอ้”
  ซูผิงไม่พูดอะไรอีกแล้วเดินผ่านไปไป
  ด้วยความตกใจซูผิงเห็นว่ามีเนื้อเหลืออยู่บนโต๊ะเพียงไม่กี่ชิ้น
  พวกนั้นมาอะไรกันตอนนี้พวกเขาไม่รู้หรือไงว่าตอนเที่ยงเป็นเวลาที่ผู้คนต้องทานอาหารกลางวันกัน?
  “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?” ปรมาจารย์ดาบถามหลังจากที่ซูผิงกลับมา ทั้งเขาและอู่กวนเฉิงสัมผัสได้ถึงนักรบอสูรกิตติมศักดิ์
  “ไม่มีอะไร ผมสั่งของและคนส่งของก็มาพอดี” ซูผิงตอบ
  ปรมาจารย์ดาบและอู่กวนเฉิงมองหน้ากันพวกเขาบอกได้ว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น
  ซูผิงไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดเขากลืนอาหารกลางวันอย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ วางชามกันหมดแล้ว เขาจึงมองไปที่มือของซูหลิงเยวี่ย มือใหม่งอกแล้ว แต่ก็ยังช้า มือใหม่ดูเหมือนมือเด็ก สั้น อวบและน่ารัก
  ทักษะการรักษาของอู่กวนเฉิงสามารถช่วยให้แขนขาที่ถูกตัดขาดกลับมาได้นับประสาอะไรกับมือ
  “แม่ ผมต้องกลับไปที่ร้าน…”
  ซูผิงลุกขึ้นยืน
  ”จ้าต้อนรับลูกค้าดีๆน้า” แม่ของเขาพูดตามปกติ
  ซูผิงเดินออกไปทันทีปรมาจารย์ดาบตามซูผิงไป เขาบอกลาหลี่ฉิงรู่,อู่กวนเฉิงและซูหลิงเยวี่ย จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ร้าน หลังจากซูผิงไปชายในชุดสูทสีดำก็บินขึ้นไปบนอินทรีมงกุฏทอง.
  ซูผิงเดินเข้าประตูมาพร้อมกับปรมาจารย์ดาบเห็นว่าถังยู่หรานกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขกับทั้งสองจากตระกูลโจว
  ถังยู่หรานหยุดการสนทนาทันทีและยิ้มให้กับซูผิงเมื่อเขาเดินเข้ามา
  ซูผิงเพียงแค่เหลือบมองจากหางตา
  ทั้งสองคนจากตระกูลโจวนั่งอยู่บนโซฟาสังเกตเห็นว่าซูผิงมาถึงแล้ว แต่ก็ยังพบอีกคนตามมาด้วย
  “ปรมาจารย์ดาบ?”
  ทั้งสองตีหน้ามึนไปชั่วขณะก่อนดีดตัวขึ้นด้วยความตกใจ
  ปรมาจารย์ดาบมีความสัมพันธ์กับร้าน?
  สิ่งที่พวกเขาได้ยินจากตระกูลมู่เป็นเรื่องจริง?!
  ทั้งสองไม่อยากเชื่อว่าปรมาจารย์ดาบนักรบอสูรกิตติมศักดิ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเขตอนุทวีปจะมาอยู่ที่นี่ มันเกินตรรกะและเหนือเหตุผลที่เขาจะมาอยู่ในร้านเล็ก ๆ แห่งนี้!
  ปรมาจารย์ดาบไม่รู้ว่านักรบอสูรกิตติมศักดิ์สองคนนี้มาซื้อบริการในร้านหรือมาเยี่ยมร้านค้าแต่ทั้งสองไม่ใช่คนที่เขารู้จัก ปรมาจารย์ดาบจึงแค่พยักหน้ารับ
  จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาใกล้
  ไม่นานรถก็มาถึงร้าน
  ผู้สื่อข่าวตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้งรถจอดและนักรบอสูรกิตติมศักดิ์สองคนก็ก้าวลงมา
  โจวเทียนกวงจำได้ทันทีว่าพวกเขามาจากตระกูลเย่
  เย่ฉิวและเย่จางทั้งคู่ตกใจหลังจากเห็นคนของตระกูลโจว วงในกล่าวถึงพวกเขาว่าเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่า พวกเขาคิดว่าพวกเขามาถึงเร็วแล้ว แต่ตระกูลโจวกลับเร็วกว่าพวกเขาฦ
  วินาทีถัดมาเย่ฉิวกับเย่จางก็เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆซูผิง
  ช่างน่าประหลาดใจ
  ปรมาจารย์ดาบไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับเขาที่นี่!
  ปรมาจารย์ดาบคือคนที่จะกลายเป็นนักรบอสูรในตำนาน!
  เย่ฉิวกับเย่จางรู้สึกปลื้มปิติอย่างมากพวกเขารีบเข้าไปข้างในโดยไม่มีการวางท่าใด ๆ
  ”คุณซูยินดีที่ได้รู้จัก นี่จะต้องเป็นปรมาจารย์ดาบแน่ๆ เป็นไงมาไงครับเนี่ย?” เย่ฉิวกับเย่จางทักทายพวกเขาด้วยท่าทางขี้ประจบ
  ปรมาจารย์ดาบตอบรับอย่างเป็นมิตรเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งคู่เองก็เป็นนักรบอสูรกิตติมศักดิ์”งั้น หัวหน้าตระกูลพวกคุณก็ยุ่งเหมือนกัน?”ซุผิงเลิกคิ้ว หัวหน้าตระกูลโจวไม่มา และตระกูลเย่ก็ทำเหมือนกัน มันดูเหมือนพวกเขาจะกลัว เขาเชื่อว่าอีกสามตระกูลคงทำเหมือนกัน
  ซูผิงไม่พอใจเขาไม่มีอะไรจะพูดกับผู้อาวุโสเหล่านี้
  สองผู้อาวุโสจากตระกูลเย่อับอายแต่ในไม่ช้าก็พบข้อแก้ตัว
  ข้อแก้ตัวพวกเขาฟังดูมีเหตุผล
  ซูผิงไม่อยากเปิดเผยคำโกหกพวกเขาเขาบอกพวกเขาให้นั่งลงและรอให้คนอื่นมาถึง
  ปรมาจารย์ดาบสามารถบอกได้ว่าคนเหล่านี้มาตามคำเชิญของซูผิงเขาไม่เลือกวันให้ดี ต้องมีเรื่องเกิดในร้านแน่
  อย่างที่พูดปรมาจารย์ดาบเชื่อว่านักรบอสูรกิตติมศักดิ์เหล่านี้คงก่อปัญหาได้ไม่มากนัก
  เขาเลือกไม่เอาตัวเองไปยุ่งเขาถามซูผิงถึงโครงกระดูกน้อยเพื่อสอนบทเรียนต่อไป
  ซูผิงไม่เรียกโครงกระดูกน้อยออกมาเหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องใช้โครงกระดูกน้อยเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ห้าตระกูลใหญ่
  เขาบอกปรมาจารย์ดาบให้นั่งรอเขาหยิบไอศกรีมออกมาและนั่งลงบนโซฟา
  ”พี่เล้งอยากได้สักอันไหม?”
  ”ก็ดี”
  ซูผิงหยิบไอศกรีมโคนอีกอันแล้วยืนให้เขา
  ซูผิงกับปรมาจารย์ดาบนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันกินไอศกรีม ผู้อาวุโสทั้งสี่รู้สึกอึดอัด แม้กระทั่งถังยู่หรานก็ด้วย
  ”คุณซูนี่ของขวัญเล็กๆน้อยๆจากเรา”
  สองผู้อาวุโสจากตระกูลเย่หยิบของขวัญออกมา
  ซูผิงเหลือบมอง”อะไร?”
  สองผู้อาวุโสเปิดของขวัญพร้อมกันมันเป็นจี้ที่ทั้งล้ำค่าและมีประโยชน์ มันมีผลอย่างน่าอัศจรรย์ที่สามารถหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณของคนได้ ซูผิงพลันหมดความสนใจ เขามีของที่มีคุณสมบัติคล้ายกันแล้ว
  เขาได้ของแบบนี้มาอย่างน้อยสามชิ้นจากอาณาจักรลับเขาเก็บอันดีสุดให้ตัวเองและมอบอันรองลงมาให้ซูหลิงเยวี่ย
  ”มันจะเป็นประโยชน์ต่อคุณหนูซูอย่างมาก”ทั้งสองจากตระกูลเย่ยิ้ม
  ซูผิงรีบมาเขาพิจารณาว่าจะมอบตะเกียงวิญญาณให้แม่เขาและมอบจี้นี้ให้ซูหลิงเยวี่ย
  ”ดี”ซูผิงตอบและเก็บจี้ไป
  ทั้งสองจากตระกูลเย่ไม่สามารถระบุได้ว่าซูผิงกำลังคิดอะไรเขาไม่ชอบ?หรือเขาชอบแต่อยากได้เพิ่ม?
  ตอนนั้นรถอีกคันขับเข้ามา
  ตระกูลอื่นมาถึงทีละตระกูลพวกเขาต้องพูดคุยกันล่วงหน้าแน่
  ซูผิงพูดถูกไม่มีหัวหน้าตระกูลใดมา มีแค่ผู้อาวุโสตระกูล ตระกูลฉินส่งผู้อาวุโสกับตัวแทนอีกคนที่ซูผิงรู้จักมา ฉินชูไห่ตอนที่ 390 หนึ่งหมัด
  ฉินซูไห่รู้สึกแปลกๆ จากรูปปั้นทั้งสองข้างประตู เป็นความรู้สึกที่น่ากลัว เขาเห็นซูผิงนั่งอยู่บนโซฟา เขาเดินเข้าไปข้างในด้วยรอยยิ้ม และทักทายซูผิงอย่างมีความสุข“ น้องซู!”
  ซูผิงพยักหน้าเป็นการตอบกลับ
  ความคุ้นเคยที่ปรากฏระหว่างฉินชูไห่และซูผิงไม่ได้เหมาะกับคู่ของผู้อาวุโสจากตระกูลมู่และหลิวทั้งสี่คนแค่ทักทายกันเท่านั้นจากนั้นก็เริ่มมองรอบๆร้าน
  ทั้งสี่คนประหลาดใจที่พบว่าพวกเขาไม่สามารถมองเข้าไปในห้องที่ปิดตายมากมายในร้านได้!
  ราวกับว่ามีม่านบังอยู่
  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานใดเลย!
  มันแปลกมาก!ซูผิงยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในขณะที่เขากล่าวว่า“ ผมเห็นว่าหัวหน้าตระกูลของคุณยุ่งเกินกว่าที่จะมา เป็นอย่างนั้นสินะ?” คำพูดของเขามีผลน่ากลัว ฉินซูไห่ยิ้มอย่างขอโทษ“ น้องซูแม้ว่าหัวหน้าตระกูลของเราจะงานล้นมือ แต่เขาก็มอบหมายให้ผู้อาวุโสห่าวเทียนและผมมาโดยเฉพาะ ผู้อาวุโสห่าวเทียน มีสถานะเดียวกันกับหัวหน้าตระกูลของเรา และเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของหัวหน้าตระกูลของเรา ผมหวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไร หัวหน้าตระกูลของเราได้เตรียมของขวัญชิ้นเล็ก ๆ นี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความจริงใจของเรา”
  ฉินชูไห่หยิบกล่องของขวัญออกมา
  เขาสังเกตเห็นว่าผู้ที่มาจากตระกูลโจวและตระกูลเย่นำของขวัญมาด้วยเช่นกัน
  สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์พวกนั้น…ฉินซูไห่คิดเขาไม่ปล่อยให้ซูผิงคาดเดา เขารีบเปิดของขวัญ
  มีสมุนไพรสีเขียวซ่อนอยู่ในหลอดใส
  สมุนไพรกำลังสาดแสงสีเขียวมรกตบนผ้าไหมสีทองที่อยู่ในกล่องสีสันนั้นเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงคุณภาพของสมุนไพร
  ซูผิงจำมันได้ในทันทีนี่คือหญ้าฟีนิกส์เหมันต์
  ว่ากันว่าหญ้างอกออกมาจากรังของนกฟีนิกซ์และจะต้องผ่านการทดสอบพลังของนกฟีนิกซ์ หญ้าฟีนิกส์เหมันต์มีพลังที่แข็งแกร่ง มันสามารถช่วยผู้บาดเจ็บได้ไม่ว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรงแค่ไหนตราบเท่าที่คน ๆ นั้นยังคงกลั้นหายใจเฮือกสุดท้ายไว้ได้
  สมุนไพรเช่นนี้ไม่สามารถพบได้ในตลาด
  มันเกินความคาดหมายของซูผิงที่ว่าตระกูลฉินจะใจกว้างขนาดนี้
  การให้สมุนไพรนี้เป็นของขวัญเท่ากับหัวหน้าตระกูลมาด้วยตัวเอง!
  คนจากอีกสี่ตระกูลจ้องไปที่ฉินชูไห่ด้วยความตกใจหลังจากที่พวกเขาเห็นหญ้าฟีนิกส์มรกตพวกเขาไม่มีทางเดาได้เลยว่าตระกูลฉินจะทำขนาดนี้ ร้านขายอสูรพิกซี่ได้ทำให้องค์กรดวงดาวขุ่นเคือง ไม่มีการบอกว่าร้านค้าจะรอดจากการตอบโต้ขององค์กรดวงดาวได้หรือไม่ ซูผิงจะพบว่าตัวเองกำลังเจอปัญหาร้ายแรงถ้าองค์กรดวงดาวมาถึง การให้ของขวัญราคาแพงแก่เขาจะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์เพราะในที่สุดมันก็จะตกไปอยู่ในมือขององค์กรดวงดาว และพวกเขาเหล่านั้นอาจตามมาในภายหลังเพื่อตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาถึงให้ของขวัญมีค่าขนาดนี้แก่ซูผิง!
  ตระกูลฉินฉลาดแกมโกงมาโดยตลอดไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ทำไมวันนี้พวกเขาถึงยอมเสี่ยง?
  ผู้อาวุโสตระกูลมู่ดึงหน้าเมื่อฉินชูไห่เปิดของขวัญของเขา ทั้งคู่รู้สึกว่าพวกเขาถูกตลบหลัง
  พวกเขาไม่ได้คิดอยู่ฝ่ายเดียวตระกูลที่เหลือต่างก็คิดว่าพวกเขาตกหลุมพรางที่ตั้งขึ้นโดยจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์แห่งตระกูลฉิน
  หัวหน้าตระกูลทั้งห้าไม่อยู่พวกเขาจัดการประชุมลับ แม้จะไม่ได้พูด แต่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน
  ตระกูลฉินทำตามข้อตกลงของพวกเขาฉินตู้หวงไม่มาที่นี่ด้วยตนเอง แต่ของขวัญนั้นมีค่าพอ ๆ กับการปรากฏตัวของเขา!
  นั่นจะทำให้อีกสี่ตระกูลดูแย่
  ผู้อาวุโสทั้งสองจากตระกูลมู่ไม่รู้ว่าคนอื่นเตรียมอะไรมาบ้างแต่ของขวัญของพวกเขาจะไร้ค่าอย่างแน่นอนเมื่อเทียบกับมูลค่าของหญ้าฟีนิกส์เหมันต์
  ข้างๆพวกเขาคือผู้อาวุโสสองคนจากตระกูลหลิวทั้งคู่มีใบหน้าขุ่นมัว อย่างไรก็ตามทั้งสองคนจากตระกูลหลิวจบลงด้วยการยิ้มอย่างเหยียดหยาม ตระกูลฉินตัดสินใจผิด! “ นี่เป็นของที่ดี!”
  ซูผิงวางหญ้าฟีนิกส์เหมันต์ไว้เขามีความสุขกับมันมาก แท้จริงแล้วมันเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เขาต้องการสำหรับกายแสงอาทิตย์ระดับสอง! เขาเรียกตระกูลทั้งห้ามาเพราะต้องการให้พวกเขาค้นหาวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับกายแสงอาทิตย์
  เขาดีใจมากที่ได้มันก่อนที่เขาจะร้องขอด้วยซ้ำฉินชูไห่ยิ้มโล่งใจที่ซูผิงยอมรับของขวัญ จากนั้นทั้งสองคนจากตระกูลมู่ก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อให้ของขวัญซูผิง
  มันเป็นไข่
  นั่นคือไข่มังกรแถบสีฟ้าบนเปลือกแสดงให้เห็นว่ามันคือไข่ของมังกรสายลมรัตติกาล ซึ่งเป็นมังกรจากตระกูลลมระดับเก้าขั้นสูง
  มังกรสายลมรัตติกาลไม่ใช่หนึ่งในมังกรที่หายากที่สุดแต่สามารถนับได้ว่ามีค่า ซูผิงมอง แต่ไม่รับของขวัญ มันเป็นเพียงไข่มังกรระดับเก้า เขาไม่ได้สนใจและไม่ได้วางแผนที่จะรับอสูรเพิ่มสำหรับตัวเอง
  นอกจากนี้หากเขาวางแผนที่จะหาอสูรอีกสักตัวเขาจะใช้สระวิญญาณสำหรับการฟัก
  สระวิญญาณได้รับการเลื่อนขั้นเป็นระดับสี่แล้วและโอกาสในการผสมพันธุ์อสูรที่มีสายเลือดระดับตำนานก็มีมาก
  ซูผิงไม่มีความสนใจในไข่ของมังกรที่ไม่มีสายเลือดระดับตำนานเขาจะต้องฟักไข่และฝึกฝนมังกรซึ่งไม่ทรงพลังเท่ามังกรเพลิงนรกของเขา เขาควรใช้เวลาและพลังงานนั้นกับมังกรเพลิงนรกดีกว่า
  หากเขาจะรับอสูรตัวใหม่มันจะต้องมีความสามารถพิเศษที่สามารถชดเชยจุดอ่อนบางอย่างที่เขามีอยู่ในปัจจุบันได้ มิฉะนั้นเขาจะต้องคิดทบทวนใหม่ถึงแม้ว่าอสูรนั้นจะมีสายเลือดระดับตำนานก็ตาม
  ตัวแทนจากตระกูลมู่ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าซูผิงปฏิเสธ
  ทำไมกันใคร ๆ ก็อยากได้มังกรไม่ใช่เหรอ?
  คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกับฉินชูไห่และปรมาจารย์ดาบ อย่างน้อยที่สุดมังกรก็สามารถใช้เป็นอสูรรองได้ คงไม่มีใครปฏิเสธมังกร
  “หาอย่างอื่นให้ผม แบบเดียวกับหญ้าฟีนิกส์เหมันต์” ซูผิงกล่าว
  ทั้งสองจากตระกูลมู่พูดไม่ออก
  แน่นอนว่าหญ้าฟีนิกส์เหมันต์นั้นดี
  มันเท่ากับชีวิตที่สองและมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในการต่อสู้กับนักรบอสูรที่ต่ำกว่าระดับตำนานแน่นอนว่านักรบอสูรในตำนานก็ยังต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน พวกเขาสงสัยว่าตระกูลฉินคิดอะไรอยู่ พวกเขามีสมบัติมากเกินไปหรือไง? เนื่องจากซูผิงไม่ยอมรับไข่มังกร ทั้งสองจากตระกูลมู่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับคืน พวกเขาจะส่งคืนไปที่คลังของตระกูลและมอบให้กับสมาชิกที่โดดเด่นบางคนในตระกูล สองคนจากตระกูลหลิวสวมรอยยิ้มบนใบหน้าและหยิบของขวัญออกมา
  มันคือไข่สองฟองแต่อสูรมีสายเลือดระดับแปดเท่านั้น
  คนอื่นๆ ไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่ตระกูลหลิวเตรียมมาได้ ด้วยความสนใจเป็นอย่างมากพวกเขาจึงหันไปมองซูผิง จากนั้นก็มองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสองจากตระกูลหลิว
  พวกเขาทุกคนรู้เกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างตระกูลหลิวและซูผิงตามความเป็นจริงแล้วตระกูลหลิวเป็นสาเหตุที่ทำให้ซูผิงออกมาประกาศว่าจะคว้าแชมป์ ในช่วงแรก ร้านขายอสูรพิกซี่มีบริการ 100 อันดับแรกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตระกูลหลิวได้แข่งขันกับเขาก่อนที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา ตระกูลหลิวจึงจบลงด้วยความทุกข์และยังสร้างปัญหาให้กับตระกูลอื่น ๆ อีกด้วย
  การให้ไข่ระดับแปดสองนี่น่าสมเพชชะมัดราคาของไข่ทั้งสองฟองนั้นในตลาดมีราคาเพียงไม่กี่ล้าน
  นั่นนับเป็นเงินด้วยหรอ?
  ไม่นับ!
  นั่นจะไม่มีปัญหาหากพวกมันเป็นอสูรระดับแปดสองตัววัยผู้ใหญ่ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว พวกมันอาจมีมูลค่ามากกว่าสิบล้านซึ่งเทียบได้กับไข่มังกรระดับเก้าที่ตระกูลมู่นำมา
  ท้ายที่สุดแล้วการจะฟักไข่และฝึกมังกรนั้นต้องลงทุนมหาศาล
  ยิ่งใช้เวลามากเท่าไหร่การฝึกมากเท่าไรก็ยิ่งดีมังกรระดับสูงสุดที่ไม่มีการฝึกฝนคุณภาพจะยิ่งกว่ามังกรป่า
  ซูผิงละสายตาจากไข่ทั้งสองใบไปยังผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลหลิวเขาสนใจที่จะดูว่าพวกเขามีสีหน้าแบบไหนและอะไรที่ทำให้พวกเขากล้านำไข่สองฟองออกมาหลังจากเห็นตระกูลมู่ ทั้งสองคนจากตระกูลหลิวรู้สึกอับอายเล็กน้อย อย่างไรก็ตามชีวิตที่ยาวนานของพวกเขาทำให้พวกเขามีประสบการณ์เพียงพอในการผ่านความอึดอัดนี่ พวกเขายังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า และยังคงพูดคุยเกี่ยวกับข้อดีหลายประการของไข่ทั้งสองใบ
  ไม่มีใครพูดอะไร
  ซูผิงรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ด้วยซ้ำ
  หลังจากคำพูดของผู้อาวุโสทั้งสองซูผิงถามพวกเขาตรงๆว่า“ คุณคงคิดว่าผมเป็นคนโง่หรือไม่ก็คิดว่าผมถึงคราวเคราะห์แล้วหลังตอแยองค์กรดวงดาวสินะ พวกคุณถึงได้กล้าดูถูกผมแบบนี้?”
  คนอื่นๆ กำลังจับตาดูผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลหลิวด้วยความขบขันอย่างเปิดเผย
  แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงที่พวกเขาไม่คิดว่าซุผิงและร้านขายอสูรพิกซี่จะรอดจากน้ำมือขององค์กรดวงดาวแต่นี่ก็ชัดเจนเกินไป! ตระกูลหลิวเป็นตระกูลใหญ่ แกโง่ขนาดนี้ได้ยังไง? “คุณซู ไม่ เราไม่ได้หมายความอย่างนั้น เราจะกลับไปหาไข่สองอสูรระดับเก้าสองฟองมาให้ดีไหมครับ?”
  ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลหลิวยิ้มอย่างขอโทษแม้ว่าพวกเขาจะดูหมิ่นซูผิง และเชื่อว่าร้านค้าจะถูกลบหายไปในไม่ช้า แต่พวกเขาก็กลัว แสงสะท้อนอันเยือกเย็นของซูผิงเตือนพวกเขาว่าเขาเป็นบุคคลที่สามารถฆ่านักรบอสูรกิตติมศักดิ์ได้
  ตระกูลหลิวไม่สามารถทนรอวันที่ซูผิงถูกองค์กรดวงดาวคิดบัญชีได้“ หูของคุณมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? คุณไม่ได้ยินผมหรือไง? ผมเปิดร้านขายอสูร ผมต้องการอสูรตรงไหน? ผมจะไม่ยอมรับมันแม้ว่าคุณจะให้ไข่มังกรทองแก่ผมก็ตาม!”
  ซูผิงหัวเราะเยาะ“ หรือว่าตระกูลหลิวกำลังคิดว่าเมื่อผมโดนจัดการ อะไรก็ตามที่คุณให้ผมจะเป็นการเสียเปล่าสินะ?”
  ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลหลิวหน้าซีด”คุณซูนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเข้าใจผิด
  “โอ้ผมเพิ่งนึกได้ เรามีของขวัญอีกชิ้น นี่คือสมบัติป้องกันที่สามารถต้านทานการโจมตีด้วยพลังงานของคนที่อยู่ระดับเก้าขั้นสูงได้” หนึ่งในสองคนตัดสินใจแล้วหยิบจี้หยกออกมาจากกระเป๋าหน้าอกของเขา
  ทุกคนหันไปมองซูผิง
  ซูผิงไม่รับจี้หยกเป็นของผู้อาวุโสและเขาคิดว่าเขาสามารถใช้เป็นของขวัญได้เนื่องจากเขาเห็นทุกอย่างกำลังแย่ลง
  “ผมมีขยะแบบนี้มากเกินพอแล้ว!” ความเย็นชาเพิ่มขึ้นในดวงตาของซูผิง เขายกมือขึ้น แสงสีทองถูกรวบรวมไว้รอบ ๆ หมัดของเขาในขณะที่เขาชกออกไป!
  เขาลงมือภายในพริบตา
  มีเสียงระเบิดดังขึ้นในอากาศ
  หมัดขับไล่วิญญาณ!
  ด้วยความรู้สึกที่ท่วมท้นหมัดพุ่งไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสตระกูลหลิว
  เขายืนอยู่ใกล้กับซูผิงที่ได้รับการฝึกฝนทักษะทางกายภาพผู้อาวุโสของตระกูลหลิวไม่มีเวลาตอบโต้เมื่อซูผิงลงมืออย่างกะทันหัน
  คนอื่นๆ ต่างหวาดกลัว ไม่มีใครคาดคิดว่าซูผิงจะใช้ความรุนแรง เขาจะฆ่าผู้อาวุโสในที่สาธารณะเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยนี่นะหรือ?
  ปัง!
  มีการสร้างม่านพลัง
  หมัดสีทองอร่ามทุบโล่
  โล่แตก
  ลมที่เกิดจากผลกระทบได้พัดผมหงอกของผู้อาวุโสตระกูลหลิวปลิว
  และซูผิงก็หยุดหมัดของเขาไว้ข้างจมูกของชายชรานั่นอยู่ห่างจากดวงตาของเขาไม่ถึงสองเซนติเมตร!
  แรงกระแทกและแรงลมทำให้ชายชราหรี่ตาวินาทีต่อมาหมัดก็ถูกดึงออกไป และซูผิงก็กลับมานั่งบนโซฟาก่อนที่ใครจะมองเห็น แต่จี้หยกในมือของผู้อาวุโสกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว
  เมื่อโล่ที่สร้างโดยจี้หยกถูกบดขยี้จี้หยกเองก็ถูกทำลายเช่นกัน
  ของขวัญที่ผู้อาวุโสมอบให้ซูผิงไม่มีอยู่อีกต่อไป
  “ผมไม่ใช่พ่อค้าโง่ๆ อย่าคิดว่าผมจะยอมทุกอย่าง” ซูผิงเอนตัวพิงโซฟา เสียงของเขาเย็นชามาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว