ตอนที่ 709 จักรพรรดินี
หวืด หวืด หวืด หวืด!
ทันใดนั้นพื้นดินก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นยะเยือก หนามแหลมคมหลายสิบผุดขึ้นจากน้ำแข็งระหว่างซูผิงกับมังกรทะเล
ซูผิงหรี่ตาลงเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้น
ช่องว่างมิติปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา… จากนั้นขาสวยงามก็ค่อยๆ ก้าวออกมาจากช่องว่างนั้น!
ขานั้นยาวตรงและคลุมด้วยชุดบาง ชุดสะบัดพริ้วไหวตามการเคลื่อนไหวของขาราวกับทำจากผ้าไหม ทำให้ส่วนขาที่เย้ายวนนั้นมองไม่ค่อยเห็นและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก
เจ้าของขาเป็นผู้หญิงที่สวยและมีใบหน้าที่น่าดึงดูดที่สุด แม้ว่าจะไร้ซึ่งสีหน้าใดๆ มีเพียงความเฉยเมยเท่านั้นที่สามารถเห็นได้ ราวกับว่าเธอไม่ได้ใส่ใจอะไรในโลกนี้
แมงกะพรุนโปร่งใสกำลังลอยเหมือนเมฆเหนือหัวของเธอ ปิดกั้นลมและฝุ่นให้เธอแทนร่ม
แมงกะพรุนก็เป็นอสูรป่าเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตในสภาวะชะตากรรมอีกตัวหนึ่ง แม้ว่ามันจะปกปิดกลิ่นอายของมัน!
“จักรพรรดินีสมุทร!”(เปลี่ยนจากจักรพรรดิสมุทร)
“เธอ-เธออยู่ที่นี่…”
จี้หยวนเฟิง กู่ซือผิงและคนอื่น ๆ เป็นอัมพาตราวกับว่าพวกเขาถูกไฟฟ้าช็อต
พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะได้พบกับจักรพรรดินีแห่งมหาสมุทรในที่สุด แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะได้พบเธอเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งก่อนที่พวกเขาได้พบกันเสียอีก!
จักรพรรดินีสมุทร?
ซูผิงเริ่มเคร่งขรึมเมื่อได้ยินคำอุทานของจี้หยวนเฟิง เขาไม่ได้คาดคิดว่าจักรพรรดิที่ปกครองท้องทะเลบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินจะเป็นผู้หญิง
“ก่อนหน้านี้เธอเป็นอสูรป่าชนิดไหน?” ซูผิงถาม
เขาจ้องไปที่จักรพรรดินีและถาม เนื่องจากเธอเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แม้ว่าเธอจะไม่เก่งเท่าผู้ที่อยู่ในระดับดวงดาวแต่เธอก็ใกล้เคียงมาก เธอไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชาสวรรค์สภาวะชะตากรรมขั้นสูงสุดที่เขาเคยเจอในหลุมศพกึ่งเทพ!
เธอแค่รอโอกาสเพื่อพัฒนาไปเป็นอสูรระดับดวงดาว!
หลังจากได้ยินสิ่งที่ซูผิงพูด จี้หยวนเฟิงและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย พวกเขาโล่งใจที่เห็นว่าจักรพรรดินีสมุทรไม่โกรธ จี้หยวนเฟิงตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ร่างกายดั้งเดิมของเธอดูเหมือนจะเป็นยูนิคอร์นทะเล นั่นคือสิ่งที่เจ้าหอคอยรุ่นแรกบอกผม ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
ขณะที่ส่งข้อความกระแสจิต จี้หยวนเฟิงพูดกับจักรพรรดินีสมุทรว่า “ฝ่าบาท ท่านลืมข้อตกลงที่ทำกับเจ้าหอคอยรุ่นแรกแล้วหรอ?”
จักรพรรดินีสมุทรมองจี้หยวนเฟิงอย่างเฉยเมย และตอบโดยไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อยว่า “สนธิสัญญาไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไปแล้วในตอนนี้เพราะเขาตายไปแล้ว”
การแสดงออกของจี้หยวนเฟิงเปลี่ยนไป
กู่ซือผิงยืนอยู่ข้างๆ เขากัดฟันและพูดว่า “ใครบอกว่าอาจารย์ของฉันตายแล้ว? เขายังมีชีวิตอยู่!”
ทั้งจี้หยวนเฟิงและรองหัวหน้าต่างตกตะลึง พวกเขามองเขาด้วยความประหลาดใจ
ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่?
ไม่มีทาง!
ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ทำไมเขาถึงยังไม่ปรากฏตัวอีกล่ะ?
เจ้าหอคอยรุ่นแรกได้รับบาดเจ็บสาหัสในถ้ำลึก และเกษียณอายุในที่สุด เขาน่าจะหายดีแล้วหลังจากผ่านไปหลายปี แต่ไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย
ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาอาจจะยังมีชีวิต แต่ไม่เคยเห็น เขาอาจจะตาย แต่ไม่มีใครพบศพ และกู่ซือผิงก็ไม่เคยเตรียมงานศพให้อาจารย์ของเขา
“ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ทำไมเขาถึงยังซ่อนตัวอยู่? และแม้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วยังไงล่ะ? แกคิดว่าฉันผูกพันชั่วนิรันดร์กับแค่ข้อตกลงหรือยังไง?” จักรพรรดินีกล่าวอย่างเฉยเมยโดยไม่เคารพกู่ซือผิงและคนอื่น ๆ
กู่ซือผิงตกใจและโกรธ “ฝ่าบาทจะกลับอย่างงั้นหรอ! การรักษาสัญญาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์! ท่านปกครองอสูรกว่าพันล้านตัว ถ้าท่านกลับคำพูดง่ายๆ ลูกน้องจะไม่เยาะเย้ยท่านหรอ?นอกจากนี้ อาจารย์ของผมยังมีชีวิตอยู่ สัญญายังคงอยู่!”
“รักษาสัญญา?”
จักรพรรดินีไม่คิดพูดกับกู่ซือผิงอีกต่อไป แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “มีแต่แกมนุษย์หน้าซื่อใจคดที่ผูกพันตามคำสัญญา เราไม่ให้เกียรติอะไรนอกจากความแข็งแกร่ง! หากแกแข็งแกร่ง แกคือราชา ถ้าแกอ่อนแอ แกก็เป็นแค่อาหาร!
“สัญญาเป็นเรื่องปัญญาอ่อน! บอกอาจารย์ของแกให้ซ่อนตัวต่อไปถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะฉันจะฆ่าเขาถ้าเจอเขาอีก!”
กู่ซือผิงและจี้หยวนเฟิงมีสีหน้าแย่มาก
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีสมุทรตั้งใจที่จะเพิกเฉยต่อธิสัญญาและเริ่มการบุกรุก
จี้หยวนเฟิงกัดฟันและกล่าวว่า “ฝ่าบาท เราอยู่ร่วมกันมาหลายปี เราอยู่บนบกขณะที่ท่านปกครองท้องทะเล ผมเห็นว่าท่านไม่ได้โลภดินแดนของเรา แต่ถ้าท่านต้องการ เราสามารถแบ่งทวีปอื่นๆ ให้ท่านได้ ถ้าท่านเหลือไว้ให้เราบ้าง”
กู่ซือผิงตะคอก “นั่นคืออาณาเขตของเรา เราจะให้มันไปง่ายๆได้ยังไง?”
จี้หยวนเฟิงตกตะลึงเล็กน้อย เขาหันไปมองและคำราม “เรากำลังจะสูญพันธุ์ ยึดติดกับอาณาเขตไปเพื่ออะไร?”
กู่ซือผิงรู้สึกเศร้าหลังจากได้ยินเช่นนั้น แต่เขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์และรู้ว่าพวกเขาต้องเอาใจเธอ
“ฝ่าบาท จะต้องมีเหตุผลสำหรับการเดินทัพอันยาวนานของท่าน ท่านต้องการอะไร เพียงบอกเรา เราจะมอบให้ถ้าเราทำได้! ผมแน่ใจว่าท่านไม่ต้องการทำลายสัญญาเช่นกัน เจ้าอสูรแห่งถ้ำลึกจะต้องให้คำมั่นสัญญาบางอย่างกับท่าน แต่เราสามารถให้สิ่งกับทท่านได้เช่นกัน!” กู่ซือผิงพูดกับจักรพรรดินีสมุทร
จี้หยวนเฟิงและรองหัวหน้ามองเธออย่างประหม่า และรอคำตอบ
ในระยะไกลเย่อู่ซิวและคนอื่น ๆ ก็กังวลเช่นกัน คงจะดีที่สุดถ้าสามารถสงบศึกได้ แต่พวกเขารู้สึกว่าโอกาสมีน้อย
ท้ายที่สุดผู้บุกรุกได้พยายามอย่างมากเพื่อมาที่นี่ ทำไมพวกมันถึงจะยอมถอยกลับง่ายๆ? นอกจากนี้ พวกมันจะได้สิ่งที่พวกมันต้องการหลังจากฆ่ามนุษย์จนหมด
ซูผิงขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าคำขอร้องของกู่ซือผิงและจี้หยวนเฟิงนั้นไม่มีจุดหมาย แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะลอง สถานการณ์ของพวกเขาเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
“แกยินดีที่จะให้ทุกอย่างที่ฉันต้องการ? ทำไมแกไม่ให้ตั้งแต่แรก?
ความเยือกเย็นและความเบื่อหน่ายส่องประกายในดวงตาของจักรพรรดินี น้ำแข็งก่อขึ้นบนพื้นทันที แทงใส่กู่ซือผิงและจี้หยวนเฟิง ในเวลาเดียวกันน้ำแข็งก็แทงขึ้นรอบตัวพวกเขา
ทั้งสองคนตกใจ น้ำแข็งจากความว่างเปล่า? ความเข้าใจเกี่ยวกับมิติของเธอก้าวหน้าแค่ไหน?
ซูผิงรู้ว่าทุกอย่างไม่เป็นไปด้วยดีเมื่อเขาเห็นความเบื่อหน่ายในสายตาของจักรพรรดินี เขาอ้าปากค้าง มองกู่ซือผิงและจี้หยวนเฟิงป้องกันการโจมตี
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องโจมตีจักรพรรดินี
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้เขาไม่มั่นใจ
เขามองออกว่าเธอโหดร้ายและแกร่งกว่าใคร เธอไม่เหมือนคนอื่นๆ ในสภาวะชะตากรรม
“แกจะใช้วิชาดาบอีกแล้วเหรอ?”
เมื่อซูผิงกำลังจะโจมตี จักรพรรดินีก็หันมาหาเขา ที่จริงแล้วความสนใจของเธอจดจ่ออยู่ที่เขาตลอดเวลาแม้เธอจะคุยกับคนอื่น
ซูผิงหรี่ตาและถามว่า “เธอมาถึงตอนไหน?”
“วิชาดาบของนายมีพลังแห่งกฎ ฉันบอกระดับของนายไม่ได้ แต่นายไม่มีทางอยู่ในระดับดวงดาว…ฉันจะไว้ชีวิตนายถ้านายสอนกฎที่นายเข้าใจให้กับฉัน” จักรพรรดินีกล่าวอย่างเฉยเมย ไม่ยอมตอบคำถามของซูผิง
เธอเห็นกฎแห่งการทำลายล้างในวิชาดาบของฉันหรอ?
ด้วยใจที่เต้นแรง เขาพูดอย่างเศร้าโศก “เธอต้องการให้ฉันสอนกฎให้หรอ? เธอไม่สามารถเข้าใจกฎได้ด้วยตัวเอง?”
“ฉันทำได้ แต่ไม่สามารถเข้าใจกฎมากเกินไปได้” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ถ้ากฎของนายเป็นตัวกระตุ้น ฉันอาจจะสามารถสร้างกฎที่สมบูรณ์และเหนือกว่าได้ เพื่อที่ฉันจะได้ก้าวเข้าสู่ระดับดวงดาว ชีวิตของนายไม่มีความหมายอะไรกับฉันในตอนนี้ และฉันสามารถช่วยนายได้”
ซูผิงตระหนักถึงแผนของเธอในทันที ดูเหมือนเธอจะเหมือนกับเขา เธอเพิ่งเข้าใจกฎพื้นฐานบางอย่างเท่านั้น และยังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้!
เมื่อเธอเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เธอก็จะมีพลังแห่งกฏที่มั่นคง เธอสามารถอยู่เหนือกฎและทะลวงผ่านไปยังระดับดวงดาวได้!
“ก่อนอื่น เธอต้องปล่อยทุกคนก่อน หากเธอต้องการให้ฉันสอน” ซูผิงกล่าวอย่างเย็นชา
แม้ว่าจักรพรรดินีจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็ต้องลองดูว่าเขาจะทำข้อตกลงกับเธอได้หรือไม่ ท้ายที่สุดเธออยู่เหนือกว่า และเธอก็อยู่สภาวะชะตากรรมขั้นสูงสุด โอกาสที่เขาจะเอาชนะเธอได้นั้นมีไม่มาก!
นอกจากนี้เขามีพลังงานเพียงพอที่จะโจมตีอีกแค่ครั้งเดียว ซึ่งไม่น่าจะสามารถฆ่าเธอได้!
จักรพรรดินีปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ซูผิงประหลาดใจ “นั่นเป็นไปไม่ได้
“พูดตามตรง แกตายแน่ ท่านเจ้าเกลียดมนุษย์ สิ่งที่ดีสุดที่ฉันสามารถทำได้คือยืนยันความปลอดภัยของแก หากแกเชื่อฟัง” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซูผิงรู้สึกประหลาดใจ
ท่านเจ้า?
เขาขนลุกทั่วร่างกาย ท่านเจ้าที่จักรพรรดินีหมายถึงน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับดวงดาวใช่ไหม?
นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังเกลียดมนุษย์… ราชาปีศาจระดับดวงดาวปรากฏตัวในทางเดินระหว่างพันปีที่ผ่านมาหรอ?
ซูผิงสูญเสียความมุ่งมั่นเมื่อพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าว
ระดับดวงดาว…
นั่นเป็นระดับที่เกินความสามารถของเขาโดยสิ้นเชิง!
เขาเคยปราบอสูรป่าระดับดวงดาวในสนามบ่มเพาะ แต่เป็นเพราะเขาฟื้นคืนชีพนับครั้งไม่ถ้วน!
เขาไม่สามารถหยุดพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ ช่องว่างระดับของพวกเขากว้างเกินไป!
หากอสูรร้ายจากถ้ำลึกได้รับการสนับสนุนจากสิ่งมีชีวิตระดับดวงดาว…
ซูผิงก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดว่า…
GG!
“ตอนนี้แกรู้แล้ว คำแนะนำของฉันคือแกควรเชื่อฟัง” จักรพรรดินีสังเกตเห็นศรัทธาที่สั่นคลอนในดวงตาของซูผิง ซึ่งทำให้เกิดจุดบอดในท่าทางของเขา แต่เธอไม่ได้ใช้โอกาสนั้นโจมตีเขา
เธออาจทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ถ้าเธอลอบโจมตีเขา
แต่เธอจะไม่ภูมิใจหากทำแบบนั้น
อันที่จริงเธอผิดสัญญา แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น
ซูผิงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อจักรพรรดินีพูด เขาตระหนักถึงความอ่อนแอที่เขาเพิ่งเปิดเผยไป เขาเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อย โล่งใจเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ทำอะไร ในระหว่างนี้เขาปฏิบัติต่อจักรพรรดินีอย่างเคร่งขรึมมากขึ้น
เขาไม่เชื่อว่าจักรพรรดินีกำลังขู่ นอกจากนี้ยังมีอสูรป่าสภาวะชะตากรรมจำนวนมากจากถ้ำลึก จักรพรรดินีเพียงคนเดียวไม่สามารถทำได้ ราชาปีศาจระดับดวงดาวตัวจริงต้องมีส่วนร่วมด้วยอย่างแน่นอน!
ฉันต้องถอยไปที่ร้านของฉันไหม?
ริมฝีปากของซูผิงกระตุก เขาลังเล เขาต่อสู้อย่างหนักเพราะเขาต้องการให้ทุกคนที่อยู่เบื้องหลังแนวป้องกันรอด!
ร้านค้าของเขาเป็นสถานที่ปลอดภัยจริง ๆ แต่ก็เล็กเกินไป ไม่เพียงพอแก่ทุกคนที่อยู่หลังแนวป้องกัน!
จักรพรรดินีขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่อดทน “แกจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วยหรอ? ไม่กลัวตายหรือไง?”
ซูผิงสูดหายใจลึกและมองเธอ “ฉันไม่คิดตกลงอะไรกับเธอทั้งนั้นเพราะเธอมันเป็นพวกไม่รักษาคำพูด ฉันไม่ต้องการให้เธอมารับประกันความปลอดภัยของฉัน”
จักรพรรดินีตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วก็กลับมาเย็นชา “แกอยากโดนฆ่าจริงๆ สินะ?”
”ก็ลองดูสิ!” ซูผิงยกดาบขึ้นและเยาะเย้ย
“แกคิดว่าฉันสนใจกฎผิวเผินของแกจริงๆหรอ? ฉันจะคิดกฎของฉันให้เสร็จได้ในอีกร้อย… ไม่สิ สิบปี!”
ความเย็นแผ่ขยายออกจากจักรพรรดินี ตั้งแต่ที่เธอครอบครองท้องทะเลมานับพันปี เธอก็ภูมิใจเกินกว่าจะถามซูผิงซ้ำ
ตอนนี้แกปฏิเสธคำขอแรกของฉันแล้ว อย่าคิดว่าจะมีโอกาสอีกเลย!
ฆ่าเขา!
ความหนาวเย็นแพร่กระจายออกมา ทันใดนั้น หอกน้ำแข็งแหลมคมก็ปรากฏขึ้นในมือของจักรพรรดินี มันดูเหมือนมังกรตัวยาวและค่อนข้างน่ากลัว เธอพุ่งไปหาซูผิงพร้อมหอก ร่างแยกของเธอหลายสิบร่างปรากฏออกมาพร้อมกัน
ซูผิงมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเขาไม่สามารถบอกได้ว่าร่างไหนเป็นของจริง
ศัตรูเคลื่อนที่เร็วเกินไปกว่าที่เขาจะระบุตัวได้
บูม!
ซูผิงคำรามและต่อย ถ้าเขาระบุไม่ได้ ก็ต่อยให้หมด!
หลังจากเสียงระเบิดดังสนั่น หมัดขับไล่วิญญาณก็พุ่งออกไป แต่แล้วมันก็ถูกแช่แข็งหลังจากเคลื่อนไปด้านหน้าของซูผิงไม่กี่เมตร!
มันค่อนข้างคล้ายกับฉากที่พายุทอร์นาโดของจี้หยวนเฟิง อย่างไรก็ตามหมัดขับไล่วิญญาณของซูผิงมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีลักษณะทะลุทะลวงซึ่งแทบจะไม่สามารถป้องกันได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้มันถูกแช่แข็ง!
ซูผิงตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเข้าใจ
มันไม่ใช่มิติกักขัง แต่เป็นความเย็นสุดขั้ว ออร่าหมัดของเขาแข็งตัวแล้ว!
มันเป็นความสามารถของจักรพรรดินี หรือก็คือกฏที่เธอควบคุมได้!
หลังจากเสียงดัง หมัดยักษ์ก็ระเบิดออก และพลังงานที่เป็นส่วนประกอบก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ หอกน้ำแข็งตกลงมาจากท้องฟ้าและแทงซูผิง
การแสดงออกของซูผิงเปลี่ยนไปอย่างมาก เขายกดาบขึ้นพร้อมที่จะใช้ดาบแห่งความว่างเปล่า
วิชานั้นเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้เขาหลบหนีได้
อย่างไรก็ตามเปลวไฟลุกโชนขึ้นในอากาศทันทีที่เขายกมือขึ้น มันแผดเผาอย่างรุนแรงจนแม้แต่ซูผิงผู้ต้านทานไฟได้ในระดับพิเศษก็ยังรู้สึกร้อน!
จักรพรรดินีถอยกลับอย่างรวดเร็ว อากาศหนาวเย็นรอบตัวเธอกลายเป็นชิ้นส่วนเกราะอันวิจิตร ซึ่งทำให้ร่างกายของเธอดูสง่างามยิ่งขึ้น
เธอมองไปที่กองไฟด้านหน้าซูผิงด้วยท่าทางน่ากลัว
ไฟหายไป
วินาทีถัดมา มีคนเดินออกจากบริเวณที่ไฟหายไป
เขาเป็นชายหนุ่มผมยาวสีแดง ท่อนบนของร่างกายของเขาเปลือยเปล่าและแข็งแกร่ง
เขาสูงประมาณ 1.9 เมตร และหัวเราะขณะมองซูผิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา “ฉันเพิ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะและได้เห็นการต่อสู้ที่วิเศษซะแล้ว ไม่เลวไม่เลว”
ด้านตรงข้ามของเขา จักรพรรดินีแสดงท่าทีไม่เชื่อและอุทานว่า “แกยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?”
กู่ซือผิงอุทานด้วยความยินดี “อาจารย์!”
ในตอนนี้เขาดูไม่เหมือนชายชราที่ฉลาดหลักแหลมและซับซ้อน เขาทำตัวเหมือนเด็กที่ดีใจ
ถัดจากเขาทั้งจี้หยวนเฟิงและรองหัวหน้าต่างเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ
เขาคือเจ้าหอคอยรุ่นแรก!
เขายังมีชีวิตอยู่! เขามีชีวิตอยู่จริงๆ!
นอกจากนี้ กลิ่นอายของเขา… ร่างกายของจี้หยวนเฟิงสั่นเทา เขาตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่ากู่ซือผิง เขาสามารถบอกได้ว่าเจ้าหอคอยรุ่นแรกก้าวข้ามไปอีกระดับแล้ว!
เขากลายเป็นยอดฝีมือระดับดวงดาว!
จี้หยวนเฟิงเกือบจะไม่สามารถหยุดตัวเองจากการส่งเสียงคำรามได้!
อ๊ากกก… !
แทบไม่มีความหวังสำหรับพวกเขาตอนที่จักรพรรดินีลงมือ แต่ตอนนี้ปัญหาทั้งหมดจบแล้ว!
มันยังต้องกลัวคลื่นอสูรร้ายอีกหรือในเมื่อเจ้าหอคอยรุ่นแรกคือยอดฝีมือระดับดวงดาว!
ไกลออกไปหยวนเทียนเฉิน,เย่อู่ซิวและนักรบในตำนานคนอื่น ๆ ก็ตกใจเมื่อเห็น พวกเขาแทบจะจำเขาไม่ได้
แม้ว่ารูปร่างและเสียงของเขาจะเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง และเขาก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ!
ในเมืองฐาน มีคนถามด้วยความตกใจและสงสัย “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? ทำไมผมของเขาถึงเป็นสีแดง? เขาเป็นปีศาจ? เขาเป็นอสูรป่าเหมือนอย่างจักรพรรดินีที่กลายร่างเป็นมนุษย์หรอ?”
“ไร้สาระ นายไม่เห็นหรือว่าเขาช่วยชีวิตคุณซูไว้ เขาต้องอยู่ข้างเราแน่!”
“ผู้ชายคนนั้นดูแข็งแกร่ง เราจะชนะใช่ไหม?”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก การต่อสู้นี้น่าตื่นเต้นเกินไป มีการพลิกผันค่อนข้างมาก นอกจากนี้พวกเขาไม่เข้าใจการต่อสู้ในระดับสูงเช่นนี้เลย เป็นผลให้พวกเขาไม่รู้ว่าควรเชียร์หรือรอดูไปก่อนดี
ตอนที่ 710 การต่อสู้ระหว่างศัตรูคู่แค้นพันปี
“ฉันไม่เคยบอกลา ฉันจะตายได้ยังไง”
ชายหนุ่มผมยาวสีแดงหัวเราะคิกคักขณะยืนอยู่ในสนามรบ
เสียงเขาฟังดูสบายๆและเจ้าเล่ห์
ซูผิงซึ่งอยู่ข้างหลังเขารู้ว่าชายหนุ่มเป็นใครจากคำอุทานของกู่ซิผิงก่อนหน้านี้แล้ว
เขาคือเจ้าหอคอยรุ่นแรก!
ชายที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน!
เขาก่อตั้งหอคอยและจัดระเบียบนักรบในตำนาน
เขาปราบอสูรป่าในถ้ำลึกและเอาชนะจักรพรรดินีมหาสมุทรเมื่อพันปีก่อน บังคับให้เธอทำสัญญาสันติภาพ!
สัญญาที่ปกป้องทั้งห้าทวีปมานับพันปี!
ชายหนุ่มคนนี้เป็นตำนานอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ระดับตำนานนั้นได้รับการตั้งชื่อตามเขา
เขาสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นตำนานที่มีชีวิตเพราะความสามารถของเขา!
ซูผิงรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเขานึกถึงความสำเร็จของเจ้าหอคอยคนแรก อย่างไรก็ตาม… ทำไมคุณไม่มาเร็วกว่านี้ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่?
พระเอกที่มาทีหลังจะหล่อขึ้นเป็นทวีคูณจริงหรอ?
นั่นไม่มีประโยชน์ นายไม่หล่อเท่าฉันสักหน่อย
นอกจากนี้… ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านายแต่เดิมเป็นอสูรป่า ทำไมนายถึงทำเจ้าชู้กับเธอ?
ซูผิงคิดถึงสิ่งที่อธิบายไม่ได้มากมาย
แต่เขามุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าในกรณีใดในที่สุดเขาก็สามารถหายใจออกได้เมื่อเจ้าหอคอยคนแรกมาช่วยแล้วในวันนี้
เขามั่นใจ!
ท้ายที่สุด ฮีโร่ในตำนานคนนี้ก็ปล่อยกลิ่นอายของระดับดวงดาวออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขาสูงกว่าจักรพรรดินีหนึ่งระดับ และสามารถบดขยี้เธอได้อย่างง่ายดายไม่ว่าเธอจะภาคภูมิใจในตัวเองแค่ไหน!
ดังนั้นซูผิงจึงคิดว่าการต่อสู้ของเขาจบลงแล้ว และเขาสามารถพักได้
แต่…
เขาจำ “ท่านเจ้า” ที่จักรพรรดินีที่กล่าวถึง เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีกำลังทำงานให้เขาอยู่ และดูเหมือนว่าเธอจะถูกบังคับให้ร่วมต่อสู้ ความท้าทายที่แท้จริงคือราชาปีศาจระดับดวงดาวที่เกิดในถ้ำลึก!
ราชาปีศาจเกลียดมนุษย์อย่างที่สุด กระทั่งขอให้จักรพรรดินีระดมอสูรในมหาสมุทรเพื่อล้อมและทำลายมนุษยชาติ ไม่ยากที่จะจินตนาการว่าเขาเกลียดพวกเขามากแค่ไหน!
การต่อสู้กับเขาย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตามคำถามที่ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากันระหว่าง ท่านเจ้าผู้ลึกลับกับเจ้าหอคอยรุ่นแรกยังคงไม่ได้คำตอบ
ซูผิงกระพริบตาหนึ่งครั้ง เขาไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากทั้งสองคนไม่เคยต่อสู้กันมาก่อน อย่างไรก็ตามมันจะสายเกินไปหากพวกเขาได้ต่อสู้ และผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่เราหวัง
เป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จโดยการอธิษฐาน ไม่เช่นนั้นความโชคร้ายคงไม่เคยมีอยู่จริง
เป็นเรื่องน่าละอายที่ฉันไม่สามารถมีอสูรระดับดวงดาวเป็นอสูรได้ มิฉะนั้นฉันอาจสามารถต่อต้านบางอย่างได้ ซูผิงคิด แม้ว่าร้านของเขาเพิ่งจะเลื่อนขั้น แต่เขาก็ยังอยากจะเลื่อนขั้นอีกครั้ง
เป็นความจริงที่ว่าแหล่งที่มาของความวิตกกังวลมักเป็นความปรารถนาเสมอ
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่คุณเปิดใจให้กว้าง
ซูผิงรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริงในขณะนี้ จนถึงจุดที่เขามีความคิดสับสนไปหมดอย่างตอนนี้
เขาเคยถูกกดดันเหมือนกับจี้หยวนเฟิงและคนอื่นๆ ในการต่อสู้ครั้งก่อน เขาควบคุมตัวเองมากพอแล้วที่ไม่ร้องไห้ออกมาอย่างตื่นเต้นในตอนนั้น
ขณะที่ซูผิงมีความคิดมากมายในหัว จักรพรรดินีก็มองเจ้าหอคอยรุ่นแรกด้วยท่าทางที่ซับซ้อน เธอยังตระหนักว่าคู่ต่อสู้เก่าของเธอไปถึงระดับดวงดาวเร็วกว่าเธอ!
เธอกัดริมฝีปากเมื่อรู้ว่าเธอไม่ใช่คู่มือเขาอีก
“ดูเหมือนเธอจะผิดสัญญา” เจ้าหอคอยคนแรกกล่าวด้วยรอยยิ้มสบายๆ
อย่างไรก็ตามจักรพรรดินีแสดงสีหน้าเคร่งขรึมและอุณหภูมิรอบตัวเธอก็เริ่มหนาวเย็น ราวกับว่าเธอกำลังเตรียมการป้องกันตัว
”ใช่ฉันทำ” เธอจ้องไปที่เจ้าหอคอยคนแรกอย่างเย็นชา “ฉันทำตามสัญญามาเป็นพันๆปีโดยไม่เคยผิดสัญญาแม้แต่ครั้งเดียว นายควรจะพอใจได้แล้ว!”
เจ้าหอคอยรุ่นแรกเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ดูเหมือนเธอจะพูดถูก”
ก่อนที่จักรพรรดินีจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจ้าหอคอยก็เปลี่ยนทัศนคติของเขา “อย่างไรก็ตาม ฉันจำได้ว่าสัญญานี้ควรจะมีผลชั่วนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่า ‘จวบจนสิ้นชีวิต’ เธอสัญญากับฉันชั่วนิรันดร์ แต่เธอทำตามแค่เพียงพันปีเท่านั้น ฉันไม่พอใจกับเรื่องนี้แน่”
กู่ซือผิงจี้หยวนเฟิงและคนอื่น ๆ รู้สึกแปลก
ทำไมเขาฟังดูเจ้าชู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ?
มีความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหอคอยกับจักรพรรดินีงั้นหรอ?
แต่เธอเป็นอสูร!
ซูผิงหรี่ตาเมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าของเจ้าหอคอย และมุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ ความแข็งแกร่งของเขาฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ
”นายต้องการอะไร? จะฆ่าฉันหรอ?” จักรพรรดินีมองเจ้าหอคอยอย่างเย็นชา
“งั้นมั้ง”
เจ้าหอคอยหัวเราะและหายตัวไป จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้าจักรพรรดินีในชั่วพริบตา
ใน…พริบตา!
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับแสงวาบของสภาวะว่างเปล่า เขาไม่ได้ฉีกมิติ ดูเหมือนว่าเขาจะยืนอยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีตลอดเวลา มันเป็น… กฎหรอ?
การปรากฏตัวอีกครั้งในทันทีของเขาทำให้ลูกตาของจักรพรรดินีเบิกกว้าง แต่เธอเตรียมการป้องกันไว้แล้ว เจ้าหอคอยถูกแช่แข็งในน้ำแข็งทันทีที่เขาปรากฏตัว
อย่างไรก็ตามน้ำแข็งแทบจะไม่ปกคลุมร่างกายของเขา มันถูกเผาและละลายด้วยเปลวไฟ
จากนั้นเจ้าหอคอยก็เอื้อมมือไปหาเธอ
ปัง!
คอของจักรพรรดินีถูกบดขยี้ คอที่หักของเธอก็กระเด็นออกมาเป็นดาบน้ำแข็งจำนวนมาก ในขณะที่ร่างกายของเธอระเบิดออก
เจ้าหอคอยได้ปล่อยเปลวไฟหลอมดาบน้ำแข็งทั้งหมด จากนั้นเขาก็หรี่ตาและมองออกไปหลายกิโลเมตร “ลูกเล่นเดิมๆ”
“มันยังใช้ได้อยู่ไม่ใช่เหรอ?”
จักรพรรดินีก้าวออกมาจากความว่างเปล่าและหอบหายใจ เธอรอดมาได้อย่างฉิวเฉียด ยังคงมีรอยไหม้รูปหมัดที่คอของเธอ ซึ่งค่อนข้างสะดุดตา
“หึ น่าสนใจ”
เจ้าหอคอยหัวเราะคิกคักและพุ่งออกไป ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ เขาดูเหมือนเทพแห่งไฟท่ามกลางเปลวไฟโหมกระหน่ำ
ตาของจักรพรรดินีหรี่เล็ก เธอยกกำแพงน้ำแข็งขึ้น ระหว่างนั้นผมของเธองอกและสะบัดเหมือนสาหร่าย ปล่อยกลิ่นอายน่ากลัวออกมา
ปัง! ปัง! ปัง!
กำแพงน้ำแข็งพังทลาย และเจ้าหอคอยก็ไปถึงจักรพรรดินีในชั่วพริบตา อย่างไรก็ตามสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขากำลังจะโจมตี เขาหลบไปด้านข้าง—และในวินาทีต่อมา กรงเล็บอันแหลมคมก็เคลื่อนผ่านเขาไป
เขาอาจจะโดนกรงเล็บแหลมคมนั่นหากเขาหลบไม่ทัน
เจ้าหอคอยพุ่งไปอีกด้านและหรี่ตาลงด้วยท่าทางเคร่งขรึม
จักรพรรดินีรู้สึกถอนหายใจเมื่อเห็นกรงเล็บ รู้ว่าการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว
เธอทำอะไรไม่ได้เมื่อต้องต่อสู้กับระดับดวงดาว อย่างไรก็ตามเธอสามารถสังเกตและเห็นว่าพวกเขาใช้กฎยังไง บางทีเธออาจจะพบแรงกระตุ้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น เธอจึงพูดกับเงาน่าสยดสยองที่เพิ่งเดินออกมา “ฉันจะไปก่อน “
“ตกลง” เงาตอบด้วยน้ำเสียงกระหายเลือดและโหดร้าย
เสียงบ่งบอกถึงความดุร้ายของอสูรร้ายที่เพิ่งก้าวออกมาจากความว่างเปล่า มันเป็นสัตว์ประหลาดสูงประมาณห้าเมตร มีปีกสีเลือดกระพือปีกอยู่ด้านหลัง มีเหล็กไนสีน้ำตาลแหลมที่ข้อศอกและไหล่ มันมีใบหน้าเหมือนมนุษย์ แม้ว่าจะน่ากลัวกว่าใบหน้าของมนุษย์ส่วนใหญ่มาก
“อสูรปีกต้องสาป
ขณะที่เฝ้ามองจากระยะไกล ซูผิงตกใจเล็กน้อยกับอสูรป่าที่เพิ่งก้าวออกมา
เขารับรู้ได้ เขาเคยเห็นมันในอาณาจักรโกลาหลแห่งอันเดธ มันเป็นอสูรที่มีสายเลือดระดับดวงดาว มันเป็นหนึ่งในอสูรป่าที่มีพรสวรรค์
เขาเคยเห็นปีศาจแห่งความสะพรึงกลัวในหอคอยกระดูก ในเวลานั้นอสูรร้ายตัวนั้นก็มีอสูรปีกต้องสาปเป็นผู้ช่วย!”
เขายังวิ่งเข้าไปเจออสูรปีกต้องสาประหว่างการฝึกนอกบ้าน พวกมันฆ่าเขาเพียงแค่มอง
อสูรป่านั่นทิ้งความประทับใจไว้ให้เขา
ท้ายที่สุดแล้วมีอสูรป่าไม่มากนักที่ “ดูดี” เท่ากับพวกมัน ซึ่งใบหน้าเกือบจะคล้ายกับมนุษย์
“ระดับดวงดาว…”
เจ้าหอคอยคนแรกมองไปที่อสูรปีกต้องสาป รอยยิ้มของเขาหายไป เขาตั้งข้อสังเกตอย่างครุ่นคิด “ฉันไม่คิดมาก่อนว่าแกจะพัฒนาในถ้ำลึก แกเป็นท่านเจ้าคนปัจจุบันของพวกมันหรอ? ท่านเจ้าตัวเก่าอยู่ไหน มันตายแล้วเหรอ?”
“เนี่ยฮั่วเฟิง!”
จู่ๆ อสูรปีกต้องสาปก็พูดภาษามนุษย์ด้วยสีหน้าโกรธจัด “ทำไม… แกจำฉันไม่ได้อีกแล้วเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นก็เข้าใจได้ ต้องขอบคุณแกที่ทำให้ฉันสามารถกระตุ้นเลือดปีศาจโบราณที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของฉันได้หลังจากอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างมากและเดือดดาลด้วยความโกรธ ฉันไม่คิดว่าแกจะไปถึงระดับนี้แล้วเช่นกัน น่าสนใจ…”
เนี่ยฮั่วเฟิงค่อนข้างตกใจ “แกคือผู้กลืนกินปีศาจสยอง?”
“หยุดเรียกฉันด้วยชื่อเส็งเคร็งนั่นที่แกใช้เรียก! ฉันได้รับสืบทอดพลังจิตที่ไม่ธรรมดาจากเลือดปีศาจโบราณของฉัน ฉันมีเกียรติมากกว่าชื่อที่ไร้ค่านั่น! ตอนนี้ชื่อของฉันคือราชาปีศาจ จำไว้!”
อสูรปีกต้องสาปคำรามด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่ามันไม่พอใจที่ฮั่วเฟิงที่เรียกมันด้วยชื่อเก่า
ซูผิงค่อนข้างตะลึงกับเสียงคำรามของอสูรปีกต้องสาป แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้ ทุกคนต้องการที่จะดูดี
อย่างไรก็ตามแกน่าเกลียดจริงๆ!
นอกจากนี้แกกล้ามากถึงใช้ชื่อราชาปีศาจ พ่อแม่ของแกคงไม่เคยอนุญาตให้แกเดินออกจากบ้านหากแกเคยอาศัยอยู่ในอาณาจักรโกลาหลแห่งอันเดธ ทั้งหมดเป็นเพราะกลัวว่าใครบางคนหรือบางสิ่งบางอย่างจะทุบตีแกจนตาย!
เนี่ยฮั่วเฟิงตกตะลึงครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่อสูรปีกต้องสาปพูด “มันเป็นแกจริงๆ ฉันไม่คิดว่าแกจะยังมีชีวิตอยู่…”
“นั่นต้องขอบคุณแก!” อสูรร้ายปีกต้องสาปคำรามอย่างโกรธเคือง “แกรู้ไหมว่าฉันรอดมาได้ยังไงเมื่อพันปีที่แล้ว? ถ้ำลึกนั้นค่อนข้างคับแคบ และแกปล่อยให้พวกเราทำร้ายกันเองอยู่ข้างใน แกคิดว่าเราจะต่อสู้กันจนไม่มีใครเหลืออยู่ แต่แกไม่คิดว่าฉันจะฝ่าฟันหรือปลุกเลือดโบราณในร่างกายของฉันใช่ไหมล่ะ?”
ขณะที่มันพูด มันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ เว้นแต่เสียงหัวเราะของมันบิดเบี้ยว เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชัง
มันเกือบจะเป็นบ้าอยู่แล้วจากการถูกคุมขังและฆ่าฟันมานานนับพันปี
หากมันไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาและครอบครองถ้ำลึกด้วยความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง อสูรร้ายอาจกัดกันจริงๆ จนกว่าพวกมันทั้งหมดจะตายตามที่เนี่ยฮั่วเฟิงหวังไว้
แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งที่สุดในตอนแรก แต่อสูรป่าตัวอื่นๆ ยังคงท้าทายอำนาจของมันและแข่งขันกันเพื่อแย่งทรัพยากร
มันต้องต่อสู้ทุกวัน!
ท่านเจ้าทุกตัวหมดแรงและถูกฆ่าแม้ว่าพวกมันจะมีร่างกายเป็นเหล็กก็ตาม จากนั้นผู้สืบทอดของพวกมันก็ถูกท้าทายอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งหมดแรงจนตาย และอื่นๆ…
อย่างไรก็ตามอสูรปีกต้องสาปตัวนี้ไม่เป็นอะไรไม่ว่าจะนานแค่ไหน!
เนี่ยฮั่วเฟิงจ้องไปที่มันอย่างสงบและพูดหลังจากหัวเราะเสร็จ “แกคิดว่าฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำลึก?”
”ฮะ?”
อสูรร้ายปีกต้องสาปตะลึงงันกลายเป็นหลุมฝังศพและถามว่า “แกหมายความว่ายังไง?”
“แกสนใจที่จะมาเป็นอสูรของฉันไหม?” เนี่ยฮั่วเฟิงถาม
“แกเสียสติไปแล้วหรอ?”
อสูรร้ายปีกต้องสาปโกรธมาก รู้สึกว่าถูกดูถูก
“ฉันรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในถ้ำลึก แต่ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นคนก่อ ฉันคิดว่ามันเป็นแค่อสูรร้ายตัวใหม่ที่เกิดขึ้นจากการแข่งขัน ดีหน่อยที่เป็นแกเพราะแกเป็นเพื่อนเก่า เรารู้จักกันดี”
เนี่ยฮั่วเฟิงกล่าวอย่างสงบ “แม้ว่าฉันจะอยู่ในระดับดวงดาว ฉันก็ยังไม่พบอสูรระดับดวงดาวที่เหมาะสม แกเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ ฉันอาจจะสามารถเลื่อนไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของแก หลังจากที่ฉันดูดซับพลังดวงดาวที่รวบรวมมานับพันปีจากแก!”
อสูรร้ายปีกต้องสาปตะคอก “แกคงบ้าไปแล้ว! พลังดวงดาวที่สะสมมายาวนานของแกเป็นของฉัน! เมื่อฉันกินแก ขัดเกลาจิตวิญญาณ และดูดซับกฎของแก ฉันจะยึดตำแหน่งเจ้าดวงดาว ด้วยพลังดวงดาวนับพันปี จากนั้นอสูรอื่น ๆ ทั้งหมดจะสิโรราบต่อฉัน กลายเป็นบริวารของฉัน!”
“แกคิดมากไป”เนี่ยฮั่วเฟิงยิ้ม
“หยุดไร้สาระ และตายซะ!”
อสูรปีกต้องสาประเบิดด้วยความโกรธ และกางกรงเล็บแหลมคมของมัน ซึ่งยาวเกือบเท่ากับร่างกายของมัน ช่องว่างในชั้นแรกถูกแยกออก และเข้าไปในมิติชั้นที่สอง นั่นคืออาณาเขตที่ลึกกว่า ว่ากันว่าสามารถทำลายกำแพงระหว่างจักรวาล และเดินทางไปยังอีกโลกหนึ่งในมิติที่ลึกกว่านั้นได้!
อย่างไรก็ตามพวกเขาสามารถไปถึงมิติชั้นที่สองเท่านั้น เนื่องจากความสามารถในปัจจุบันของพวกเขา
พลังงานโกลาหลในชั้นที่สามสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมากถ้ามิติชั้นสองถูกฉีกออกจากกัน พวกเขาจึงกล้าแค่ฉีกชั้นแรกและสู้กันในชั้นสอง
เนี่ยฮั่วเฟิงก็ลงมือเช่นกัน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเปลวไฟซึ่งมีกฎอยู่ จึงทำให้มิติชั้นสองลุกโชน
อสูรร้ายปีกต้องสาปปล่อยกลิ่นอายปีศาจที่น่าเกรงขาม ดูเหมือนราชาปีศาจจริงๆ
มิติที่พวกเขาต่อสู้กันนั้นสกปรกมาก ท้องฟ้าสีครามและคลื่นอสูรร้ายสามารถมองเห็นได้นอกรอยแยกมิติ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยู่นอกระยะในสนามรบของพวกเขาดูเหมือนจะมีพื้นหลังที่ทำจากผ้า พวกเขาฉีกผ้าที่ขอบเป็นชิ้นๆ และต่อสู้กันตรงกลาง
ซูผิงตั้งใจจะเตือนเจ้าหอคอยเรื่องอสูรปีกต้องสาป เขาเคยเห็นพวกมันต่อสู้กับอสูรป่าอื่นๆ ในอาณาจักรโกลาหลแห่งอันเดธ ปีกของพวกมันสามารถปลดปล่อยการโจมตีเวทย์มนตร์อันทรงพลังได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงถูกตั้งชื่อว่าอสูรร้ายปีกต้องสาป
ท้ายที่สุดไม่มีชื่อใดตั้งโดยไม่มีความหมาย เหมือนกับที่มันเคยถูกเรียกว่าผู้กลืนปีศาจสยองมาก่อน
อย่างไรก็ตามตามสารานุกรมอสูรที่เขาได้รับจากระบบทำให้ซูผิงรู้ว่าชื่อจริงของมันก่อนที่จะพัฒนาควรจะเป็นความตะกละ
มันเป็นสายพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะบนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน ดังนั้นเจ้าหอคอยรุ่นแรกจึงไม่ทราบว่าจริง ๆ แล้วมันคืออสูรป่าระดับดวงดาว
ตอนนี้เจ้าหอคอยกำลังต่อสู้ในมิติชั้นสองซึ่งเสียงของซูผิงไม่สามารถเข้าไปถึงได้ ดังนั้นเขาจึงต้องยอมแพ้
จากการกระทำล่าสุดของเขา ซูผิงสามารถบอกได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่และเสียสละอย่างที่เขาคิด
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เขาจะปล่อยให้อสูรร้ายทำลายผนึกและกรูกันออกมาทั้งที่เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในถ้ำลึก
เขาสามารถไปที่ถ้ำลึกและจัดการอสูรได้… เขาเพียงแค่เลือกอสูรที่ดีของตัวเขาเองและโจมตี เดี๋ยวก่อนถ้าเขาเคยไปที่ถ้ำลึกก็คงไม่เกิดศึกใหญ่…
ซูผิงตกตะลึง
เป็นไปได้ไหมที่เจ้าหอคอยรุ่นแรกไม่ได้ปราบปรามอสูรป่าในถ้ำลึกเพราะจุดประสงค์นั้น?แต่เพื่อเลี้ยงอสูรที่แข็งแกร่งไว้เพื่อตัวเอง?
ซูผิงรู้ดีว่าอสูรที่ทรงพลังมีเสน่ห์เพียงใดสำหรับนักรบอสูร เทคโนโลยีการพัฒนาอสูรค่อนข้างด้อยบนดาวเคราะห์สีน้ำเงิน น้อยคนนักที่จะเลี้ยงอสูรระดับเก้าได้ เป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเขาสามารถเลี้ยงราชาอสูรร้ายสภาวะสมุทรได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ฝึกสอนจิตวิญญาณเทวะอย่างประธานสมาคมผู้ฝึกสอน
อย่างไรก็ตามมีผู้ฝึกสอนจิตวิญญาณเทวะไม่มากนักทั่วโลก!
อสูรสภาวะชะตากรรมแทบจะไม่สามารถพบเห็นได้แม้แต่ในป่า!
ซูผิงกระพริบตา หากเจ้าหอคอยรุ่นแรกเป็นคนวางแผนที่จะเลี้ยงดูอสูรร้ายสภาวะชะตากรรม – ถ้าไม่ใช่ที่ระดับดวงดาว- หนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนั้นก็ช่างคิดจริงๆ!
ในขณะนี้ได้ยินเสียงของกู่ซือผิง“มาจัดการคลื่นอสูรร้ายในขณะที่อาจารย์ของฉันจัดการเจ้านั่นกันดีกว่า!”
กู่ซือผิงดูมั่นใจมากขึ้น ดูเหมือนเขาจะควบคุมทุกอย่างได้อีกครั้ง
จากนั้นเขาก็มองไปที่ซูผิงและพูดว่า “นายยังมีเรี่ยวแรงอยู่ไหม? อสูรร้ายเหล่านั้นเป็นของนาย อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไป!”
เขาสั่งซูผิง
ซูผิงหรี่ตาลง ผู้ชายคนนี้มั่นใจเพราะมีอาจารย์อยู่ที่นี่หรอ?
อย่างไรก็ตาม ซูผิงไม่กลัว
อย่างแรก เขาได้รับการคุ้มครองจากระบบ แม้แต่เจ้าหอคอยรุ่นแรกก็ไม่สามารถทำร้ายเขาได้ อย่างที่สอง มันยังคงต้องจับตาดูว่าเนี่ยฮั่วเฟิงสามารถเอาชนะราชาปีศาจจากถ้ำลึกได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม อสูรร้ายปีกต้องสาปเป็นอสูรที่ดุร้ายอย่างมาก แม้เจ้าหอคอยรุ่นแรกจะเป็นระดับดวงดาว มันก็ยากที่จะเอาชนะด้วยความสามารถของเขาเองถ้าเขาไม่มีอสูรระดับดวงดาว เว้นแต่เขาจะมีประสบการณ์การต่อสู้มากเท่ากับซูผิง แต่ซูผิงไม่คิดว่าเขามี
ซูผิงไม่ได้อวดดี
ผู้ชายคนนั้นอาจมีอายุยืนยาวนับพันปี แต่แล้วยังไงล่ะ?
มีอสูรป่าสภาวะชะตากรรมอยู่กี่ตัวบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่เป็นคู่ซ้อมของเขา?
ไม่ว่าในกรณีใดซูผิงหวังว่าเจ้าหอคอยสามารถชนะได้ ท้ายที่สุดจะไม่มีใครหยุดยั้งเจ้าแห่งถ้ำลึกได้ถ้าเขาแพ้ แนวป้องกันจะล่มสลาย!
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ซูผิงต้องการจะเห็น
สำหรับกู่ซือผิงที่พยายามจะสั่งเขา ซูผิงตัดสินใจที่จะไม่สนใจ ผู้ชายคนนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะสั่งเขา!
“นายเองก็เป็นนักรบสภาวะชะตากรรมไม่ใช่หรอ? นายเป็นเจ้าหอคอยรุ่นสาม ฉันบอกไปแล้วว่าฉันจะจัดการอสูรร้ายสามตัว นายจัดการส่วนที่เหลือเอง นายคิดว่านายมายืนเฉยๆเหมือนมาสคอตได้หรือไง?” ซูผิงตะคอก
กู่ซือผิงค่อนข้างตกตะลึงกับคำตอบของซูผิง แต่ก็โกรธมากเมื่อรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“แก แก…
”อะไร? พูดติดอ่างหรอ?”
“!!!”
กู่ซือผิงหน้าแดงและดวงตาของเขาเกือบจะลุกเป็นไฟ หลังจากเป็นผู้นำที่เคร่งขรึมมาหลายปี เขาพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเถียงชนะซูผิง!
จี้หยวนเฟิงและรองหัวหน้าที่อยู่ใกล้ๆก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่ากู่ซือผิงตัวสั่นด้วยความโกรธ คาดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะได้เห็นผู้บัญชาการของนักรบในตำนานทั้งหมดบนโลกโกรธแค้นเช่นนั้น อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องยอมรับว่าซูผิงค่อนข้างมีไหวพริบ
“น้องกู่ น้องซูคงเหนื่อยจากการต่อสู้ต่อเนื่อง มาจัดการอสูรป่าสภาวะชะตากรรมตัวอื่นด้วยกันเถอะ”จี้หยวนเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
การขอให้ซูผิงจัดการอสูรป่าสภาวะชะตากรรมตัวอื่นๆ เป็นเรื่องที่น่าอับอายจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว