ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว นิยาย บท 711

ตอนที่ 711 กฏที่สอง
  กู่ซือผิงรู้สึกแย่หลังจากได้ยินสิ่งที่จี้หยวนเฟิงพูด แต่ตัดสินใจที่จะไม่ตอบโต้ เขาพูดไม่เก่งเหมือนซูผิง
  เขาเรียกอสูรของเขาทันทีและพุ่งเข้าใส่อสูรป่าสภาวะชะตากรรม
  จี้หยวนเฟิงและลูกศิษย์ของเขาตามเขาไป กังวลว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้าหอคอย
  ซูผิงพ่นลมหายใจและไม่สนใจกู่ซือผิง เขาจ้องมองไปที่มังกรทะเล และจักรพรรดินีอย่างเคร่งขรึม
  จักรพรรดินีอาจเคลื่อนไหวถ้าเขาคิดจะฆ่ามังกรทะเล มิฉะนั้นเธอคงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาตอนที่เขาเตรียมการโจมตีครั้งก่อน
  “จะดีกว่าถ้านายอยู่นิ่งๆ”
  เมื่อจักรพรรดินีสังเกตเห็นซูผิงขยับดาบของเขาเข้ามาใกล้ เธอจึงละสายตาจากการต่อสู้ในมิติชั้นสอง มุ่งความสนใจมาที่เขาและขมวดคิ้ว “อย่าขัดจังหวะฉัน นายไม่สามารถฆ่าใครต่อหน้าฉันได้ ฉันไม่มีเวลาให้นายตอนนี้”
  ซูผิงเลิกคิ้วและหยุด
  เธออาจดูหยิ่ง แต่คำพูดของเธอเป็นจริง
  เช่นเดียวกับเขา จักรพรรดินีเข้าใจกฎพื้นฐานบางอย่าง อย่างไรก็ตามเธออยู่ในสภาวะชะตากรรมขั้นสูงสุดซึ่งเหนือกว่าเขา!
  หลังจากใช้พลังของเขาจนหมดในการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เขามีพลังเหลือสำหรับดาบแห่งความว่างเปล่าอีกหนึ่งครั้งเท่านั้น ในขณะที่เธอสามารถใช้พลังของกฎได้อีกหลายครั้ง เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ
  เป็นเวลาดีที่ซูผิงจะได้พัก เขาไม่อยากทำให้จักรพรรดินีสมุทรขุ่นเคือง
  มนุษยชาติจะล่มสลายในไม่ช้าหากจักรพรรดินีเข้าร่วมสนามรบ แม้ว่าซูผิงจะสามารถท้าทายเธอได้ แต่เธอก็แค่ต้องจับเขา และขอให้มังกรทะเลจับจี้หยวนเฟิง ด้วยวิธีนี้ราชาอสูรร้ายสภาวะชะตากรรมตัวอื่น ๆ ก็เพียงพอที่จะกำจัดกู่ซือผิงและรองหัวหน้า
  ไม่ต้องพูดถึงว่ามีราชาอสูรสภาวะว่างเปล่าและสภาวะสมุทรอยูมากมาย!
  นอกจากนี้ด้านอสูรร้ายในทิศทางอื่น ๆ ยังคงไม่ลงมือ ไม่มีใครบอกได้ว่าราชาอสูรร้ายสภาวะชะตากรรมตัวอื่นๆลงมือหรือยัง ซูผิงไม่มีเวลาติดต่อศูนย์บัญชาการเพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้
  โดยรวมแล้วมันคงจะเป็นเรื่องที่ยุติธรรม หากทั้งเขาและจักรพรรดินีไม่ลงมือทำอะไร!
  ”ได้!”
  ซูผิงยอมรับข้อเรียกร้องและอยู่ในที่ที่เขาอยู่ เฝ้ามองการต่อสู้ครั้งใหญ่ในมิติชั้นสอง
  ผลลัพธ์ของสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์นี้ขึ้นอยู่กับเนี่ยฮั่วเฟิงในที่สุด
  ถ้าเขาชนะ มนุษย์จะชนะ
  ถ้าเขาแพ้ มนุษย์จะล่มสลาย!
  จากนั้นมังกรทะเลก็เห็นว่าซูผิงและจักรพรรดินีกำลังเฝ้ามองการต่อสู้ในมิติชั้นสอง มันกลอกตาอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ คลานไปยีงสนามรบที่อยู่ใกล้ๆ
  “ฉันจะฆ่าแกถ้าแกกล้าเข้าร่วมการต่อสู้” เสียงไม่แยแสดังใกล้หัวของมังกรทะเล
  มังกรทะเลหยุดนิ่งครู่หนึ่ง มันมองมาที่ซูผิงด้วยความโกรธและคำราม “ทำไมแกไม่ลองฆ่าฉันล่ะ? นายท่านจะประหารแกอย่างแน่นอน!”
  ซูผิงตอบด้วยคำพูดสบายๆ “มันไม่เป็นไรถ้าเธอจะโจมตีฉันถ้าฉันโจมตีแก แต่ด้วยวิธีนี้เธอจะไม่สามารถสนุกไปกับการต่อสู้ได้”
  การแสดงออกของมังกรทะเลเปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่จักรพรรดินี พบว่าเธอทุ่มเทความสนใจอย่างเต็มที่ให้กับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในมิติชั้นสอง มันรู้ดีว่าเธอปรารถนาที่จะไปถึงระดับนั้น และเธอก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว ทั้งหมดที่เธอต้องทำคือเปิดประตู!
  เพื่อจักรพรรดินีมหาสมุทร… มังกรทะเลละสายตาและจ้องมาที่ซูผิง
  เพื่อไม่ให้เสียโอกาสอันล้ำค่านี้ไป ถ้าจักรพรรดินีเข้าใจอะไรบางอย่างและก้าวเข้าสู่ระดับดวงดาว อสูรทะเลก็จะไม่ถูกกดขี่อีกต่อไป มิฉะนั้นแม้ว่าพวกมันจะชนะสงคราม พวกมันก็ยังถูกครอบงำโดยท่านเจ้าแห่งถ้ำลึกอยู่ดี…
  ในทางกลับกัน ราชาสวรรค์ดีชั่ว—ซึ่งในที่สุดก็สามารถรักษาตัวเองได้—ลุกขึ้นจากพื้นดินและจ้องมองมาที่ซูผิงด้วยหัวสีดำของมัน ถึงกระนั้นอสูรร้ายก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว
  ซูผิงใช้ดาบของเขาไปสองครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้รู้ว่ามนุษย์ยังสามารถใช้วิชาดาบที่ไม่ธรรมดาได้อีก
  “อยู่ในที่ที่แกอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแก” ซูผิงพูดคำเหล่านั้นไปยังหูของราชาสวรรค์ เหมือนการคำสั่ง
  ราชาสวรรค์ดีชั่วคำรามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ความโกรธก็หายไปเมื่อซูผิงหันกลับไปมอง จากนั้นจึงตัดสินใจเพิกเฉยต่อเขาหลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
  ถ้าซูผิงโจมตีมัน จักรพรรดินีมหาสมุทรไม่น่าจะปกป้องมันได้!
  ท้ายที่สุดมันไม่ใช่หนึ่งในแม่ทัพของจักรพรรดินีเหมือนมังกรทะเล!
  นอกจากนี้… ทุกคนต่างเฝ้ามองการต่อสู้ อาจเข้าร่วมด้วย ท้ายที่สุดจักรพรรดินีมหาสมุทรจะต้องถูกตำหนิในภายหลังหากท่านเจ้าของถ้ำลึกโกรธ!
  ราชาสวรรค์ดีชั่วหันไปมองมิติชั้นสอง มันอยู่ที่สภาวะชะตากรรมขั้นสูงสุดแล้วแต่ไม่เคยเข้าใจกฎ มันป้องกันการโจมตีของจักรพรรดินีได้ด้วยทักษะเลือดพิเศษของมัน แต่เธอก็ยังสามารถสังหารมันได้หากเป็นการต่อสู้จริงๆ
  ดังนั้นมันจึงไม่เคยกล้าทำให้จักรพรรดินีโกรธเคืองมาหลายปีแล้ว
  หากมันสามารถเข้าใจพลังของกฎได้ในโอกาสนี้ มันจะแข็งแกร่งขึ้นมาก อาจกลายเป็นราชาที่เก่งที่สุดในระดับของมัน!
  ฉากประหลาดปรากฏขึ้นในสนามรบหลังจากที่ราชาสวรรค์ก้มหัวลง ราชาสวรรค์ดีชั่วและมังกรทะเลหมอบอยู่ท่ามกลางอสูรร้าย ขณะที่ซูผิงและจักรพรรดินียืนนิ่งอยู่กลางอากาศ การต่อสู้ที่รุนแรงเกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา
  เป็นที่เข้าใจได้ว่าราชาอสูรสภาวะชะตากรรม และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ได้โจมตีจักรพรรดินีหรือราชาสวรรค์ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครพยายามโจมตีซูผิง
  ทั้งหมดเป็นเพราะกลิ่นอายสะกดข่มของเขา!
  ทุกคนประหลาดใจกับฉากนี้ ซูผิงได้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับอสูรป่าทั้งหมดในสนามรบด้วยความสามารถของเขา!
  ซูผิงยังเฝ้ามองการต่อสู้ในมิติชั้นสอง แต่ไม่ทุ่มเทเหมือนจักรพรรดินี เขายังคงเตรียมพร้อมสำหรับการซุ่มโจมตี
  เขาเห็นการต่อสู้ของระดับดวงดาวมามากเกินพอ
  ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะค่อนข้างอ่อนแอ
  เนี่ยฮั่วเฟิงเข้าใจกฎเปลวไฟจริงไหม? ฉันไม่รู้ว่าประเภทไหนกันแน่ เหมือนจะเผาไหม้ หรืออาจจะเป็นละลาย…
  อสูรปีกต้องสาปเข้าใจกฎแห่งการกลืนซึ่งดูเหมือนจะมาจากเส้นทางความมืด มันยังไม่ได้ใช้พลังเวทย์ของมัน ดูเหมือนว่าจะประมาทน้อยกว่าที่เห็น
  ยิ่งซูผิงมองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ยอดฝีมือของระดับดวงดาวตัวจริง แต่เขาเห็นระดับดวงดาวต่อสู้กันมามากมาย ในขณะที่การต่อสู้ตรงหน้าเขารุนแรงมากจนความว่างเปล่าถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ และเปลวไฟก็ลามออกไป เขารู้สึกว่ามีบางอย่างยังปิดอยู่
  ดูเหมือนว่าสองคนนี้…ยังไม่สมบูรณ์?
  ใช่ ยังไม่สมบูรณ์
  ในหลุมศพกึ่งเทพซูผิงได้เห็นการต่อสู้ของผู้ใต้บังคับบัญชาในระดับดวงดาวของโจแอนนา มันดูรุนแรงมีการระเบิดน้อยกว่านี้ อย่างไรก็ตามการใช้กฎนั้นมีทักษะสูง ผู้ที่สู้กันสามารถโจมตีจุดอ่อนของกันและกันได้เสมอ
  ผู้ที่ต่อสู้ในขณะนั้นต่างก็ใช้พลังของกฎ แต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขาใช้ค้อนทุบกันเองมากกว่า ฉากนี้ดูน่าเกรงขาม แต่จริงๆ แล้วไม่มีความปราณีต
  มันสมเหตุสมผลแล้ว ระดับสูงสุดบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินคือระดับดวงดาว สองคนนั้นไม่มีใครสอน เทพระดับดวงดาวที่อยู่เคียงข้างโจแอนนาสามารถขอคำแนะนำจากเธอได้เช่นเดียวกับคำแนะนำของอาจารย์คนอื่นๆ มันง่ายกว่าสำหรับพวกเขาที่จะตรัสรู้
  ยิ่งซูผิงมองมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งส่ายหัวหนักขึ้นเท่านั้น
  อย่างไรก็ตามเขาสรุปว่าเขาน่าสงสารยิ่งกว่าเดิมเมื่อตระหนักว่าเขาเข้าใจเพียงพื้นฐานของกฎการทำลายล้างเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ทฤษฎีมากมายก็ตาม
  ซูผิงยิ้มขมขื่นขณะที่เขาหันไปมองจักรพรรดินี เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับเธอที่จะทำความเข้าใจกฎให้สมบูรณ์จากการดูการต่อสู้
  ท้ายที่สุดนักรบทั้งสองก็ใช้กฎฉบับสมบูรณ์ พวกเขาไม่ได้อนุมานกฎของพวกเขาเอง แม้ว่าพวกเขาจะทำเช่นนั้น มันก็ยากที่จะเห็นกระบวนการอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต่อสู้กันโดยใช้กฎเป็นอาวุธ
  กฎนั้นเข้าใจยาก…
  ซูผิงถอนหายใจเบาๆ นอกเหนือจากการรับรู้กฎอย่างอิสระแล้ว ทางเลือกเดียวที่เหลือคือการดู การอนุมานของผู้อื่น ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจพวกเขาด้วยการสังเกตเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง มิฉะนั้นยอดฝีมือระดับดวงดาวเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะฝึกเพื่อนระดับดวงดาวได้อีกหลายคน
  ซูผิงเข้าใจกฎการทำลายล้างระหว่างการฝึกฝนในโลกอีกาทองคำ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณประสบการณ์การต่อสู้ที่มากมายของเขา
  ประสบการณ์แต่ละวันของบุคคลสามารถสรุปได้เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเมื่อเกิดเกิดการเห็นแจ้ง
  เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างตึกสูงในวันเดียว!
  แม้ว่าการสังเกตจะไม่สามารถช่วยให้เข้าใจกฎได้มากนัก แต่ซูผิงยังคงเฝ้าดูการต่อสู้อย่างระมัดระวัง ท้ายที่สุดการต่อสู้ก็สำคัญ นอกจากนี้เขายังพบว่าการใช้กฎเบื้องต้นทำให้เข้าใจง่ายขึ้น
  เทพระดับดวงดาวในหลุมศพกึ่งเทพใช้กฎในลักษณะที่ซับซ้อนจนเขาไม่เข้าใจเลย
  “การเผาไหม้… เขาสามารถเผามิติได้ไหม?”
  ซูผิงเห็นว่าเปลวไฟที่เนี่ยฮั่วเฟิงปล่อยออกมากำลังปกคลุมมิติชั้นสอง เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนแม้อยู่ภายนอก
  ความร้อนไม่ใช่อุณหภูมิร่างกาย แต่เป็นการเผาไหม้จิตใจ!
  ซูผิงเกิดการเห็นแจ้ง และรู้สึกว่าเขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับไฟ
  ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎสายฟ้าของเขาถูกยกระดับขึ้นสู่ขั้นกลาง เขาสามารถปลดปล่อยทักษะสายฟ้าให้ใกล้กับสภาวะชะตากรรมได้ อย่างไรก็ตามเขาสามารถปลดปล่อยทักษะขั้นกลางได้เท่านั้น เขารู้สึกว่าเขาเพิ่งเข้าใจอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับความร้อนและการเผาไหม้ ซึ่งเป็นพื้นฐานของกฎเปลวไฟ
  ธาตุพื้นฐานกำลังเข้าใกล้แก่นแท้
  ในขณะที่ซูผิงฟุ้งซ่านเล็กน้อยจากการสู้รบ กระดูกที่ปกคลุมตัวเขานั้นแหลมขึ้นและปกคลุมเขาเป็นเกราะกำบัง นั่นคืองานของโครงกระดูกน้อย มันสัมผัสได้ถึงจุดสนใจของซูผิง
  มันจะสามารถปกป้องเขาได้
  …
  “จงเชื่อฟังฉันและเป็นอสูรของฉัน เราสามารถพิชิตอวกาศด้วยกัน!”
  บูม!
  ย้อนกลับไปในมิติชั้นสอง เนี่ยฮั่วเฟิงโจมตีด้วยหมัดเปลวเพลิงไปยังอสูรปีกต้องสาป เขาบินขึ้นสูงอย่างมากและก้มมองลงมา
  โฮก!!
  อสูรปีกต้องสาปคำรามและโบกกรงเล็บของมันเพื่อดับไฟบนร่างกาย โฮกกก “ฝันไปเถอะ!”
  “ต้องเจ็บตัวก่อนถึงจะยอมสินะ”
  ดวงตาของเนี่ยฮั่วเฟิงเย็นลง เปลวไฟลามออกจากร่างกายของเขา และอักษรรูนที่ลุกเป็นไฟประหลาดก็โผล่ออกมาจากหน้าผากของเขา ผมสีแดงของเขาสีเข้มขึ้น เขาดูเหมือนเทพแห่งไฟ!
  เมื่อเขาโกรธจัด เปลวไฟแห่งการทำลายล้างก็รวมตัวกันอยู่ในฝ่ามือของเขา พวกมันบิดมิติชั้นสองรอบตัวเขา และเกือบจะฉีกมันออกจากกัน!
  เปลวเพลิงก่อตัวเป็นหอกยาว ซึ่งส่องแสงเจิดจ้าและปล่อยรัศมีทรงพลังของกฎออกมา มันมีกฎที่สมบูรณ์!
  ”ทำลาย!!”
  เนี่ยฮั่วเฟิงขว้างหอกอย่างรวดเร็วจากแสงที่ส่องออกไปจากดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็พุ่งตามหอกไฟ พุ่งเข้าใส่อสูรร้ายปีกต้องสาป
  จากมุมมองของคู่ต่อสู้ อสูรปีกต้องสาปสีหน้าเปลี่ยนเมื่อเห็นหอกเจิดจ้านั่น มันคำรามและรัศมีของปีศาจรุนแรงรอบตัวก็กลายเป็นปากมหึมา
  ผู้กลืนกินปีศาจ!
  นั่นคือกฎที่มันเข้าใจ มันกลืนอสูรป่าที่ไม่เชื่อฟังมากมายในถ้ำลึกตลอดหลายปีที่ผ่านมา
  “ไร้ประโยชน์! กฎของแกอ่อนแอเกินไป! จงเผาไม่ให้เหลือซาก!” เนี่ยฮั่วเฟิงบินและคำราม
  เขาเห็นว่ากฎของคู่ต่อสู้ของเขาเป็นหนึ่งในกฎเดิมๆ ในขณะที่กฎของเขาเองนั้นมีพลังระเบิดมากกว่ามากและสามารถจัดการกับศัตรูได้อย่างสมบูรณ์!
  ช่วงเวลาที่มันระเบิดก็เพียงพอแล้วที่จะชนะการต่อสู้!
  “คาถาโลหิต: ปีศาจทะเล!”
  ก่อนที่จะปะกัน อสูรร้ายปีกต้องสาปก็คำรามและปีกของมันก็ปล่อยออกลิ่นอายเลือดอันน่าสยดสยองออกมา รูนแปลกประหลาดวิ่งออกมาจากปีกของมัน
  มิติชั้นสองที่มืดมิดบริสุทธิ์ก็เต็มไปด้วยทะเลเลือด กระแสน้ำเพิ่มขึ้นในทะเลเลือดขณะที่อักษรรูนโบราณเริ่มทำงาน
  ”อะไรกัน?”เนี่ยฮั่วเฟิงตะลึงกับ
  วินาทีถัดมา ทะเลเลือดได้ล้อมหอกที่ลุกเป็นไฟไว้ และอักษรรูนดำที่ปรากฏอยู่ในนั้นก็เข้ามาพัวพันกับหอกราวกับงูพิษพยายามจะดับไฟ
  “ฮ่าฮ่า แกไม่เห็นสิ่งนี้กำลังมาใช่ไหม? มันเป็นทักษะสายเลือดของตระกูลฉัน! มันเป็นการลงทัณฑ์โดยอสูรเทพโบราณที่มีต่อเรา แต่ต่อมามันก็กลายเป็นพลังของเรา!”
  อสูรปีกต้องสาปกำลังหัวเราะ และคำรามอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่มันผลักปากยักษ์ไปทางหอกไฟ
  “ยังไงแกก็ต้องตาย!”
  ความตกใจบนใบหน้าของเนี่ยฮั่วเฟิงหายไป และเปลวไฟลุกโชนขึ้นในดวงตาของเขา หอกไฟทำให้เกิดแสงระยิบระยับและเปลวไฟสีขาวก็ลุกโหมขึ้น
  เปลวไฟกำจัดพลังเวทย์อย่างรวดเร็ว และฉีกมหาสมุทรที่เปื้อนเลือดออกจากกัน จากนั้นมันก็ลอยออกจากกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวด้วยแรงกระตุ้นที่ไม่หยุดยั้ง!
  อสูรปีกต้องสาปตกตะลึงครู่หนึ่ง และรีบต่อต้านโดยการปล่อยกลิ่นอายปีศาจโดยหวังว่าจะทำให้เปลวไฟสีขาวบนหอกอ่อนลง แต่มันถูกเผาไหม้ทันทีที่มันเข้าไปใกล้
  ”ตายซะ!”
  เปลวไฟออกมาจากดวงตาของเนี่ยฮั่วเฟิงทำให้เขาดูเหมือนพระเจ้า เขาผลักมือและหอกก็เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ!
  บูม!!!
  หอกแทงปาก การปะทะกันของกฎทั้งสองทำให้เกิดเสียงอึกทึก
  พลังทำลายล้างพุ่งออกมา และอสูรร้ายที่อยู่ใกล้สนามรบก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านทันที ไม่เหลือไว้แม้แต่ศพ
  หวืด!
  อสูรปีกต้องสาปถูกเหวี่ยงออกไปหลายพันเมตร ขณะที่เหยียบไปที่ขอบมิติชั้นสอง มันจบลงด้วยเลือดทั่วร่างกายและมีรูขนาดใหญ่บนหน้าอกของมัน เปลวไฟสีขาวยังคงเผาไหม้อยู่ในรู!
  อสูรปีกต้องสาปพยายามยกกรงเล็บขึ้นดับไฟที่หน้าอกของมัน จากนั้นมองไปที่เนี่ยฮั่วเฟิงที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟด้วยความมุ่งมั่นที่จะฆ่า
  “ไม่ยอมใช่ไหม”
  เนี่ยฮั่วเฟิงมองลงมาจากที่สูง
  อสูรปีกต้องสาปจ้องกลับไปที่เขา ทันใดนั้นก็ยิ้มและหัวเราะ ทิ้งความจริงจังทั้งหมดบนใบหน้า
  “เนี่ยฮั่วเฟิง! ฉันรอมานับพันปี วันนี้ฉันจะหั่นแกเป็นชิ้นๆ และกินแกตั้งแต่เท้าจนถึงลำไส้ แกจะมีโอกาสได้เห็นตัวเองถูกฉันกิน!” อสูรร้ายประกาศขณะที่เลียแก้ม ลิ้นของมันปล่อยเมือกออกมาเป็นจำนวนมาก
  เนี่ยฮั่วเฟิงกล่าวเสริมด้วยสายตาเย็นชาว่า “ถ้านั่นคือสิ่งที่แกตั้งใจจะทำ งั้นแกตายตอนนี้เลยดีกว่า!”
  เขายกมือขึ้นและรวบรวมเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่าง ก่อเป็นหอกเจิดจ้าอีกครั้ง
  อสูรปีกต้องสาปหัวเราะหนักเมื่อเห็นสิ่งนั้น จากนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ก่อนที่มันจะพูดอย่างสงบ “แกคิดว่าฉันไม่รู้จริงๆ เหรอว่าแกต้องการให้ฉันทำลายผนึก? ฮิฮิ ฉันเก็บสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ ที่แกทิ้งไว้เพื่อติดตามฉันมานับพันปี แม้ว่าแกจะฉลาดพอที่จะไม่ทำสัญญากับมัน แต่แกคิดว่าฉันไม่นึกถึงมันอย่างั้นหรอ?”
  เนี่ยฮั่วเฟิงตกตะลึงครู่หนึ่งจากนั้นการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไป
  “แกคิดว่าฉันทำอะไรไปบ้างตลอดพันปี” อสูรร้ายปีกต้องสาปมองไปที่เนี่ยฮั่วเฟิงด้วยสายตาที่เป็นกันเอง รัศมีรุนแรงและบิดเบี้ยวของมันหายไป จากนั้นมันก็สงบราวกับเป็นคนละคน
  ”ถูกต้อง ฉันกำลังเตรียมที่จะกินแก” มันพูดอย่างใจเย็น “แกคิดว่าฉันมีกฎเดียวเหรอ? ฮิฮิ ฉันเข้าใจกฎที่สองเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว มันยังไม่สมบูรณ์แต่ก็ใช้ได้ …”
  ตาของเนี่ยฮั่วเฟิงหรี่เล็กขณะที่เขามองไปที่อสูรร้ายด้วยความตกใจ ที่พูดนั่นเป็นความจริงหรอ?
  “พูดถึงเรื่องนี้ ฉันต้องขอบคุณแกที่อนุญาตให้ฉันได้ต่อสู้ในถ้ำลึกโดยไม่มีโอกาสได้พักเลย… แกไม่มีโอกาสแบบนั้นด้านบนใช่ไหมล่ะ?” มีการเยาะเย้ยในดวงตาของอสูรปีกต้องสาป
  “แกคิดว่าพลังงานที่เกิดจากการโจมตีกันครั้งก่อนของเรากระจัดกระจายไปสินะ? ใช่ มีบางส่วนกระจายออกไป แต่ส่วนที่เหลืออยู่นี่…”
  จากนั้นกลิ่นอายของปีศาจก็โผล่ขึ้นมาด้านหลัง ปากยักษ์ยาวหลายสิบเมตรพลันปรากฏขึ้น มันปล่อยกลิ่นอายปีศาจออกมาหนากว่าเดิมหลายเท่า
  ฮั่วเฟิงทำได้เพียงอ้าปากค้าง ดวงตาของเขาถูกปกคลุมด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่เขาสังเกตศัตรู เขาเปลี่ยนท่าทางในขณะที่เขาเห็นคำใบ้ของกฎที่สองที่อยู่เบื้องหลังผู้กลืนกินปีศาจ กฎค่อนข้างบางและคลุมเครือ ดูเหมือนว่าจะเป็นกฏปลอมแปลง
ตอนที่ 712 เข่นฆ่า
  มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
  ซูผิงกำลังมองการต่อสู้ของเนี่ยฮั่วเฟิง และอสูรปีกต้องสาปในมิติชั้นสอง
  แม้ว่าเนี่ยฮั่วเฟิงชนะการปะทะครั้งแรก และวิชาของอสูรปีกต้องสาปไม่ได้ทำร้ายเขา ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่ของเจ้าหอคอยรุ่นแรก การสนทนาของพวกเขาก็ทำให้ซูผิงรู้สึกไม่ดี
  การสนทนาของพวกเขาในมิติชั้นสองเป็นแบบการส่งกระแสจิต เนื่องจากมิตินั้นเป็นสุญญากาศ โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่มีเสียงใดถูกส่งผ่านไปได้
  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ซูผิงจะบอกว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรโดยการอ่านปาก
  เนี่ยฮั่วเฟิงดูเหมือนจะไม่สบายเหมือนเมื่อก่อน ในทางกลับกันอสูรปีกต้องสาปกลับดูผ่อนคลายมาก!
  ทั้งคู่ยืนนิ่ง แต่การแสดงออกที่เปลี่ยนไปบ่งบอกถึงการสื่อสารทางกระแสจิต
  เจ้าแห่งถ้ำลึกพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เนี่ยฮั่วเฟิงตกใจ?
  ซูผิงดูเคร่งขรึมขณะที่เขาคิดหลายๆอย่าง เขาเริ่มรู้สึกประหม่าและระมัดระวัง
  ถ้าเนี่ยฮั่วเฟิงแพ้ นั่นหมายถึงความหายนะของมนุษยชาติ!
  ราชาสวรรค์ดีชั่วและจักรพรรดินีที่อยู่ใกล้ๆกันก็มีท่าทีจริงจัง พวกมันยังสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่พวกมันยังไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับอะไร
  การที่เจ้าแห่งถ้ำลึกถูกเหวี่ยงถอยหลังและถูกกดขี่ก่อนหน้านี้ทำให้หัวใจของพวกมันหนักอึ้ง
  เกิดการปะทะกันอีกครั้งในมิติชั้นสองขณะที่พวกเขากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
  อสูรปีกต้องสาปกระพือปีก และคาถาผนึกที่ดูเหมือนรูปแกะสลักก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้มันเป็นสีดำและมีกลิ่นอายปีศาจ
  เลือดจำนวนมหาศาลไหลออกจากความว่างเปล่า รวมตัวกันจนเกิดเป็นมหาสมุทรเลือด
  อสูรปีกต้องสาปยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของมหาสมุทรเลือด และผู้กลืนกินปีศาจขนาดยักษ์ก็คำราม กรงเล็บหลายร้อยกรงเล็บเอื้อมออกจากมหาสมุทรเลือดไปหาเนี่ยฮั่วเฟิง
  เนี่ยฮั่วเฟิงคำรามและขว้างหอกเพลิงอีกครั้ง หลังจากเสียงดัง หอกก็พุ่งตรงไปยังปีกต้องสาปและเกือบจะทำลายมิติชั้นสอง
  ปัง! ปัง! ปัง!
  กรงเล็บพยายามที่จะหยุดมัน แต่พวกมันก็ถูกปัดออกไป
  หอกพุ่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีขาว อย่างไรก็ตามอักษรรูนแห่งความมืดปรากฏขึ้นในขณะหอกที่กำลังจะโจมตีเป้าหมาย ปิดกั้นการโจมตีราวกับมีพลังลึกลับ
  จากนั้นหอกก็สูญเสียพลังของมันไปในทันที แม้ว่ามันจะทำให้รูนดำเหล่านั้นแตกสลายไปมากมายก็ตาม!
  เปลวไฟที่แผดเผาบนหอกก็ดับลงเช่นกัน
  โฮก!!
  ปากมหึมาที่อยู่เบื้องหลังอสูรปีกต้องสาปโผล่ออกมา ราวกับปีศาจและกลืนหอกเข้าไป
  ในชั่วพริบตาหอกก็ถูกกลืนเข้าไป
  ”ระเบิด!”
  เนี่ยฮั่วเฟิงโบกมือด้วยความโกรธเมื่อเห็นสิ่งนั้น อย่างไรก็ตามการโจมตีไม่สามารถเจาะเข้าไปในปากได้ มันหายไปหลังจากเกิดการปะทะ
  เนี่ยฮั่วเฟิงดูแย่มากหลังจากเห็นผลลัพธ์ ปากไม่ได้ฉีกออกจากกันอย่างที่เขาคาดไว้ และมันก็กินหอกของเขาไปแล้ว
  ในเวลาเดียวกัน อสูรปีกต้องสาปคำรามอย่างตื่นเต้น และพุ่งเข้าใส่เนี่ยฮั่วเฟิงในมหาสมุทรเลือดที่สูงขึ้น
  “แกจะได้ชดใช้ในสิ่งที่แกทำกับฉันมานับพันปี!”
  ทัศนคติไม่แยแสออกมาจากใบหน้าของอสูรปีกต้องสาป มันคำรามอย่างฉุนเฉียวด้วยความเกลียดและความโกรธที่ไม่มีที่สิ้นสุดในสายตา
  เนี่ยฮั่วเฟิงเปลี่ยนการแสดงออกเล็กน้อยและรวบรวมมหาสมุทรไฟอีกครั้ง เปลวไฟแผดเผากรงเล็บที่ยื่นออกมาจากมหาสมุทรเลือด เขาหายใจเข้าลึกและจิ้มอักษรรูนไฟระหว่างคิ้วของเขา รอยร้าวสีแดงกระจายออกจากหน้าผากของเขาทันที และแผ่ขยายไปทั่วร่างกายของเขา
  ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะเต็มไปด้วยแมกมา
  โฮกก!!
  เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงในร่างกายของเขาถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นกงล้อเพลิงที่หมุนอย่างเร็ว
  “กฎแห่งไฟ: สุริยันเจิดจรัส!”
  เนี่ยฮั่วเฟิงคำรามและกงล้อไฟในมือของเขาปล่อยแสงจ้ากับว่ามันกำลังจะเผาท้องฟ้า มิติกระจัดกระจายไปรอบ ๆ วงล้อ มีดมิติโกลาหลก็พุ่งบาดหน้าเนี่ยฮั่วเฟิง!
  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไหลออกมาจากบาดแผลไม่ใช่เลือด แต่เป็นไฟ!
  ดูเหมือนว่าเลือดของเขาจะถูกแทนที่ด้วยลาวาและเปลวไฟ!
  นั่นคือร่างลาวาของเขา!
  หลังจากเสียงดังสนั่น กงล้อก็ถูกเหวี่ยงออกไป และมิติชั้นสองทั้งหมดก็ถูกตัดออกจากกันในพริบตา!
  อสูรปีกต้องสาปที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง ผลักมหาสมุทรเลือดไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างนี้กลิ่นอายปีศาจที่หนาแน่นและดำก็แผ่ออกมาจากร่างกาย ก่อตัวเป็นอาณาเขตของปีศาจ
  มีหมอกอยู่ภายในอาณาเขตซึ่งสร้างร่างปีศาจเหมือนผี และคำรามอย่างดุเดือด
  อักษรรูนโบราณแผ่ขยายออกไปเหนือปีกของอสูรร้าย ทั้งหมดเต็มไปด้วยพลังลึกลับ อสูรร้ายดูแข็งแกร่งขึ้นมากตอนที่พวกมันโผล่ออกมา!
  รอยแยกในมิติชั้นสองขยายออกไปเป็นหลายพันเมตรขณะต่อสู้ ท้องฟ้าเหนือสนามรบมืดราวกับกลางคืน!
  การต่อสู้ครั้งใหญ่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ คนที่อยู่เบื้องหลังแนวป้องกันต่างพูดไม่ออก
  มันอยู่เหนือจินตนาการของพวกเขา ไม่มีคำพูดใดสามารถบรรยายถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกได้!
  มันเกือบจะเป็นการต่อสู้ระหว่างเทพเจ้ากับปีศาจ!
  อสูรร้ายที่อยู่นอกกำแพงตัวสั่นด้วยความกลัวเพราะการต่อสู้ อสูรป่าสภาวะชะตากรรมที่ต่อสู้กับกู่ซือผิงและคนอื่น ๆ ไม่สามารถต่อสู้อย่างทุ่มเทในขณะที่ถูกรบกวนโดยปรากฏการณ์แปลก ๆ
  “นี่คือการต่อสู้ของระดับดวงดาวใช่ไหม?”
  จี้หยวนเฟิงตบราชาอสูรสภาวะชะตากรรมออกไป จากนั้นจ้องไปที่มหาสมุทรเลือดอันเจิดจ้าและกงล้อศักดิ์สิทธิ์ในมิติชั้นสอง มันตกใจเกินกว่าจะพูดอะไร
  เขาอยู่ห่างจากระดับดวงดาวเพียงหนึ่งก้าว!
  อย่างไรก็ตามก้าวสุดท้ายเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด!
  ในอีกด้านหนึ่งกู่ซือผิงรู้สึกตื่นเต้นกับฉากต่อสู้อย่างดุเดือดนี่ ดวงตาของเขาแดงก่ำ
  จักรพรรดินี ราชาแห่งสวรรค์ดีชั่ว และมังกรทะเลต่างก็มึนงงเหมือนกันกับจี้หยวนเฟิง
  ในทางกลับกัน ซูผิงขมวดคิ้ว
  ฉากนี้น่าตกใจมากกว่าการต่อสู้ของสภาวะชะตากรรม อย่างไรก็ตามเขาเคยเห็นมาเยอะแล้ว และเขาก็ไม่ค่อยประทับใจอะไร
  ท้ายที่สุดเขาได้เห็นการต่อสู้ที่น่ากลัวมากกว่านี้ร้อยเท่า
  ทักษะลับที่เนี่ยฮั่วเฟิงเพิ่งใช้นั้นทรงพลังอย่างมาก เขาอาจจะต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด ถึงกระนั้นซูผิงก็ไม่รู้ว่าเขาจะชนะได้ไหม
  บูม!!!
  กงล้อศักดิ์สิทธิ์และมหาสมุทรเลือดปะทะกัน กงล้อฟันมหาสมุทรเลือดออกจากกัน และพุ่งไปข้างหน้า มันชนกับอาณาจักรปีศาจของอสูรปีกต้องสาป ทำให้ผีทั้งหมดที่อยู่ในอาณาจักรกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในทันที
  แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงใด ๆ แต่ทุกคนก็เห็นว่าการต่อสู้นั้นรุนแรงแค่ไหน
  อาณาจักรปีศาจแตกหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อมันแตก อสูรปีกต้องสาปก็เปิดเผยลักษณะที่แท้จริงของมัน มันสูงพันเมตร ยืนอยู่ในมหาสมุทรเลือดราวกับปีศาจโบราณ มันสูงเป็นสองเท่าของกำแพงสูงสุดของแนวป้องกัน!
  นักรบอสูรบนกำแพงตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองศัตรู
  หลังจากเสียงดังก้องกังวาน อสูรปีกต้องสาปก็สะบัดกรงเล็บของมันอีกครั้ง และทุบกงล้อศักดิ์สิทธิ์ พลังงานพุ่งออกมา และกงล้อศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิด สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาถูกเหวี่ยงกลับไปจนสุดมิติชั้นสอง ทำให้เกิดรอยร้าวอีกรอยที่มีความยาวหนึ่งหมื่นเมตร!
  อสูรปีกต้องสาปรีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว กรงเล็บที่มันเพิ่งสะบัดถูกตัด เหลือเพียงแขนเท่านั้น
  มันก้าวเข้ามหาสมุทรเลือด พร้อมพุ่งไปทางเนี่ยฮั่วเฟิงราวกับกำลังอาละวาด
  เนี่ยฮั่วเฟิงกระอักเลือดเลือด เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อกงล้อศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย รอยแตกที่แผดเผาทั่วร่างกายของเขาค่อยๆประกบกัน เมื่อเขาเห็นอสูรปีกต้องสาปวิ่งเข้ามาหา เขาก็รีบโบกมืออย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ
  นั่นคือมิติชั้นสาม!
  สิ่งมีชีวิตระดับดวงดาวสามารถเข้าสู่มิติชั้นสามได้ อย่างไรก็ตามสถานที่นั้นค่อนข้างอันตราย พวกเขาจะต้องหลบเลี่ยงมิติโกลาหลอย่างระมัดระวัง
  มิติโกลาหลคือพลังของกฎและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
  เนี่ยฮั่วเฟิงเปิดรอยแยกไปยังมิติชั้นสาม เขาก็พุ่งเข้าไป รอยแตกบนร่างกายของเขาเริ่มปิดลง มหาสมุทรเลือดที่พุ่งเข้าหาเขาพังทลาย
  โฮกก!!
  อสูรปีกต้องสาปคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับลิงที่โกรธจัด
  อย่างไรก็ตามมันสามารถยับยั้งตัวเอง และตัดสินใจที่จะไม่บุกเข้าไปในมิติชั้นสาม
  เนี่ยฮั่วเฟิงหลบหนีไปยังมิติชั้นสามเพื่อป้องกันไม่ให้มันไล่ตามเขา มิติชั้นสามนั้นอันตรายมากจนทั้งคู่น่าจะตาย แม้ว่าเจ้าแห่งถ้ำลึกจะฆ่าเขาได้ก่อน
  …
  ”อืม…”
  การแสดงออกของซูผิงเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเขาเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นในสนามรบ
  เนี่ยฮั่วเฟิงแพ้!
  เขายังหลบหนี!
  อสูรปีกต้องสาปอาละวาด เจ้าแห่งถ้ำลึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!
  ซูผิงรู้สึกเหมือนหัวของเขากำลังจะระเบิด ความเป็นไปได้ที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดเกิดขึ้นแล้ว เนี่ย ฮั่วเฟิง แพ้!
  ให้ตายสิ บัดซบจริง!
  ซูผิงหันหลังกลับและวิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ!
  หวืด!
  เขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูงสุด!
  “หนี!”
  ขณะหนี ซูผิงก็คำรามใส่เย่อู่ซิวและคนอื่นๆ ที่ยังคงยืนนื่งอยู่ที่จุดนั้น
  คนเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาตกตะลึงกับการต่อสู้ครั้งใหญ่นี้
  กู่ซือผิงซึ่งกำลังต่อสู้กับกระแสอสูรร้ายด่าซูผิงหลังจากได้ยินเสียงคำรามของเขา จะหนีหรอ? อยากตายหรือยังไง?
  แต่ครู่ต่อมา เขาก็ตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเหมือนกับว่าถูกน้ำเย็นเทลงบนหัว
  อาจมีเพียงเหตุผลเดียวที่ซูผิงจะหนี
  เขาเงยหน้าขึ้น…
  ในเวลาเดียวกัน อสูรปีกต้องสาปก็ก้มหน้าลงมองกู่ซือผิงด้วยดวงตาดุร้ายและเจตนาฆ่า
  กู่ซือผิงเริ่มตัวสั่นทันที
  เขาพบว่าเนี่ยฮั่วเฟิงไม่ได้อยู่ในมิติชั้นสองอีกต่อไป!
  อะไร…?
  ในทางกลับกัน ซูผิงวิ่งไปแล้ว!
  นั่นเป็นทางเลือกเดียวของเขา มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะต่อสู้กับศัตรูระดับดวงดาว!
  แม้ว่าศัตรูระดับดวงดาวจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชนะได้
  วิ่ง!
  ฉันต้องกลับไปที่ร้านแล้ว!
  ฉันจะปลอดภัยที่นั่น!
  นั่นเป็นความคิดเดียวของซูผิง
  เขาเต็มใจช่วยเหลือคนอื่นและแบกรับความรับผิดชอบที่มากขึ้นถ้าเป็นไปได้ แต่เขาจะช่วยใครได้ถ้าเขาตาย?
  เขาไม่อยากตาย!
  แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตในสนามบ่มเพาะมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นั่นก็ทำให้เขาหวงแหนชีวิตของเขามากกว่าเดิม เขารู้ว่าชีวิตของเขาสำคัญแค่ไหน!
  เขาเคยผ่านความทุกข์ทรมานจากความตายมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาไม่อยากตายในชีวิตจริง เพราะมันจะตายจริง
  บูม!
  เมื่อเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเต็มที่ ซูผิงก็มาอยู่ภายในขอบเขตกำแพงในชั่วพริบตา เขาได้เรียกมังกรเพลิงนรกและสุนัขมังกรดำกลับไปยังพื้นที่สัญญาแล้ว
  นั่นเป็นข้อได้เปรียบของสัญญาของระบบซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าสัญญาเดิมๆที่ใช้กันในดาวเคราะห์สีน้ำเงิน
  ย้อนกลับไปในสนามรบ เย่อู่ซิวและคนอื่นๆ เริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ซูผิงคำรามใส่พวกเขา ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือด
  เนี่ยฮั่วเฟิงพ่ายแพ้!
  นั่นหมายความว่าพวกเขาถึงวาระแล้ว!
  วิ่ง!
  เย่อู่ซิวเป็นคนแรกที่หันหลังกลับ และวิ่งตามซูผิง
  การอยู่เท่ากับฆ่าตัวตาย หลังจากที่ได้เห็นพลังระดับดวงดาวในการต่อสู้ครั้งล่าสุด พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากแมลงที่อยู่ต่อหน้าศัตรู
  แม้ว่าพวกเขาจะเสียสละตัวเอง มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสะกิดเจ้าแห่งถ้ำลึกที่น่าสะพรึงกลัวนั่น!
  นักรบในตำนานหลายคนหันหลังกลับ น่าเสียดายที่บางคนมีอาการทางจิตและยืนอยู่ในที่นั่นนิ่ง
  จี้หยวนเฟิงก็วิ่งเช่นกัน เขาไม่อยากตาย!
  ”ไม่…”
  กู่ซือผิงตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นและต้องการหนี แต่เขาพบว่าเขาถูกหยุด จากนั้นเขาก็เห็นว่าเงาที่น่าสยดสยองก้าวออกมาจากมิติชั้นสอง
  กรงเล็บขนาดใหญ่กำบังทุกอย่าง และจับกู่ซือผิง
  “โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันยอมทำทุกอย่าง ฉันสามารถรับใช้นายได้… ฉันรู้ตำแหน่งของสมบัติล้ำค่า ฉันพานายไปที่นั่นได้ … “กู่ซือผิงกลัว ดวงตาของเขาเกือบจะถลนออกมาในขณะที่เขามองไปที่หัวยักษ์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
  เขาสูญเสียความสง่างามและท่าทีของเจ้าหอคอยไปอย่างสิ้นเชิง
  เขาละทิ้งการวางตัวและความเย่อหยิ่งทั้งหมดเนื่องจากเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องของชีวิตและความตาย เขากลายเป็นอ่อนน้อมราวกับมด โดยหวังว่าเขาจะสามารถจุดประกายความสงสารและเอาตัวรอดได้ด้วยการทำอย่างนี้!
  เขาไม่อยากตายจริงๆ!
  “เนี่ยฮั่วเฟิงหนีไปแล้ว ดังนั้นฉันจะดับความโกรธด้วยเลือดของแก!” อสูรปีกต้องสาปประกาศ เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่มันไม่ได้ไล่ตามเนี่ยฮั่วเฟิงก็คือมันตั้งใจที่จะกำจัดมนุษย์ – สายพันธุ์ที่เหยียบหัวมันมานับพันปี!
  นอกจากนี้ยังมีอย่างอื่นที่ต้องทำ!
  พลังดวงดาวมูลค่าพันปี!
  มันไม่เชื่อว่าเนี่ยฮั่วเฟิงจะทำอะไรได้ตอนที่พลังดวงดาวถูกปลดปล่อยออกมา!
  เป็นไปไม่ได้ที่ชายคนนั้นจะรักษาบาดแผลอย่างรวดเร็วในมิติชั้นสาม เขาจะโดนฆ่าทันทีที่ออกมา+
  หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน อสูรตัวใหญ่ก็เริ่มจริงจังมากขึ้น มันคำราม “ถ่ายทอดคำสั่งของฉันไปยังกองกำลังทั้งหมดของฉัน จัดการพวกมันซะ!”
  เสียงคำรามของมันดังไปไกลไปหลายร้อยกิโลเมตร!
  แม้แต่คลื่นอสูรร้ายในอีกสามทิศทางก็ได้ยินเสียงคำราม!
  เสียงดังเตือนทุกคนที่อยู่เบื้องหลังแนวป้องกัน การแสดงออกทั้งหมดของพวกเขาเปลี่ยนไป
  ใครจะหยุดมันได้ตอนนี้
  ความสูงของอสูรปีกต้องสาปเพียงอย่างเดียวก็น่ากบัวพอแล้ว กำแพงที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นสูงเพียงหกร้อยเมตร ซึ่งถึงแค่เอวของมันเท่านั้น
  หกร้อยเมตรเป็นระดับความสูงที่ดีที่สุดที่ยอดฝีมือคำนวณไว้ และมันก็ไม่ง่ายที่จะสร้างกำแพงสูงไปกว่านี้
  ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังแนวป้องกันต่างหวาดกลัวมาก เพียงแค่คิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งถ้ำลึกซึ่งดูเหมือนปีศาจที่ไม่มีใครเทียบได้ หลายคนถึงกับคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวัง  …
  ในอีกสามทิศทาง
  “นั่นเสียงของหัวหน้า!”
  “เสียงการต่อสู้อาจเกิดจากท่านเจ้าเท่านั้น ไหนบอกว่ายอดฝีมือระดับดวงดาวอาจซ่อนอยู่ท่ามกลางมนุษย์ เขาฆ่าชายคนนั้นไปแล้วเหรอ?”
  “น่ากลัว…”
  “ถึงเวลาโจมตี ฮ่าๆๆๆ มดพวกนี้มีเนื้อไม่มาก แต่ก็คงไม่แย่ถ้าเรากินพวกมันหลายๆ ตัวพร้อมกัน!”
  ”ฆ่าพวกมันให้หมด! ฆ่าพวกมัน!”
  กระแสอสูรร้ายในทิศทางอื่นเริ่มตื่นเต้น พวกมันเดินทัพมาภายใต้คำสั่งของอสูรสภาวะชะตากรรม และกฃพุ่งใส่มนุษย์
  การบุกของอสูรร้ายถูกส่งไปยังหอคอยทันที สัญญาณเตือนที่มีลำดับความสำคัญสูงสุดดังก้องในแผนกข่าวกรอง
  “กระแสอสูรร้ายในอีกด้านหนึ่งก็กำลังลงมือ…”
  “ไม่มีนักรบในตำนานเหลือแล้ว ทั้งหมดกำลังหนี…”
  “พวกเราจบสิ้นแล้ว…”
  เสมียนบางคนที่รับผิดชอบในการส่งรายงานภายในศูนย์ข่าวกรองยืนนิ่ง
  พวกเขาจะต่อสู้ได้อย่างไรในเมื่อนักรบในตำนานยังหนี?
  พวกเขามองเห็นอสูรร้ายสูงพันเมตรจากในเมืองฐาน!
  นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้จริงๆหรอ?
  นักรบทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังแนวป้องกันสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้
  พวกเขาหมดหวังอย่างสมบูรณ์
  อย่างไรก็ตามบางคนยังคงไม่ยอมแพ้ พวกเขาเรียกพลังดวงดาวทั้งหมดออกมาและพร้อมที่จะต่อสู้
  “ฉันจะให้พวกแกได้ชดใช้อย่างถึงที่สุดแม้ฉันจะต้องตาย!”
  “อย่างน้อยพวกแกก็ต้องตายไปพร้อมกับฉัน!”
  ”ฆ่าพวกมัน!!”
  เสียงคำรามค่อยๆ ปลุกคนบางคนที่สิ้นหวัง ไม่นานหลังจากนั้นเหล่านักรบอสูรบนกำแพงได้รวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายของพวกเขา และเตรียมพร้อมสำหรับการยืนหยัดครั้งสุดท้าย!
  หวืด!
  มีคนกำลังบินข้ามท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซูผิง
  เขากลับมาที่กำแพงแล้วก่อนที่ใครจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาวิ่งออกจากกำแพงแล้วกลับมาที่เมืองฐานหลงเจียงหลังแนวป้องกัน
  เขาตรงกลับไปที่ร้านของเขา
  ข้างหลังซูผิง นักรบในตำนานคนอื่นๆ ได้หลบหนีตามๆมา กลับมาที่กำแพง
  นักรบอสูรบนกำแพงมีความหวังอีกครั้งเมื่อเห็นพวกเขามาถึง มีคนตะโกน “นักรบในตำนาน มาต่อสู้ด้วยกัน!”
  “นักรบในตำนาน โปรดปกป้องพวกเราด้วย!”
  “นักรบในตำนาน มาต่อสู้ด้วยกัน!”
  เสียงของพวกเขาทำให้เหล่านักรบในตำนานที่มาถึงทั้งหมดหน้าเสีย
  หยวนเทียนเฉินได้ยินคำวิงวอนของนักรบกิตติมศักดิ์ซึ่งสวมเครื่องแบบทหาร เมื่อเขาบินผ่านมา เขาก็เกิดความรู้สึกท้อแท้
  เขาจะต่อสู้กับศัตรูได้ยังไงในเมื่อเจ้าหอคอยรุ่นแรกยังทำไม่ได้?
  พวกเขาไม่เห็นหรือว่าเจ้าแห่งถ้ำลึกแข็งแกร่งขนาดไหน?
  ใครจะสามารถเอาชนะมันได้?
  ทางเดียวคือหนี!
  นักรบในตำนานหลายคนเพิกเฉยต่อคำวิงวอนของพวกเขา และวิ่งไปทางด้านหลังของแนวป้องกัน มองหาโอกาสที่จะหลบหนีจากการต่อสู้ที่สิ้นหวังนี้ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม
  เมื่อได้ยินคำวิงวอนของเหล่านักรบอสูรที่อ้อนวอน เสวี่ยอวิ๋นเจินก็กัดฟันและหยุด “บัดซบ ฉันวิ่งพอแล้ว และจะไม่วิ่งอีก ฉันจะสู้กับพวกมัน!”
  ขาที่สวยงามของเธอหยุดชะงักกลางอากาศ และยืนบนกำแพง
  เธอรู้สึกหดหู่เมื่อมีคนแสดงความขอบคุณ นักรบอสูรที่ไม่ได้อยู่ในระดับตำนานกลับมีความตั้งใจที่จะต่อสู้มากกว่าพวกเธอ
  พวกเขาอาจแสดงท่าทีไม่เกรงกลัวเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด อย่างไรก็ตามการต่อสู้ของพวกเขายังคงสร้างแรงจูงใจ!
  จะหนีไปทำไมในเมื่อหนีไม่ได้?
  การแสดงออกของเย่อู่ซิวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเสวี่ยอวิ๋นเจินหยุด เขาคำราม “เธอกำลังทำอะไร? คิดจะฆ่าตัวตายหรือไง? เธอจะต่อสู้กับอสูรร้ายระดับดวงดาวได้ไง? แถมยังมีอสูรร้ายสภาวะชะตากรรมมากมายขนาดนั้น! ไปจากที่นี่ซะ ไปกับเจ้าของร้านซู อย่างน้อยพวกเราบางคนก็อาจรอด เธอต้องการให้มนุษยชาติถูกกำจัดจนสิ้นซากจริง ๆ หรือไง?”
  เสวี่ยอวิ๋นเจินตกตะลึง เธอดูแย่มาก
  ”พวกเราต้องการนาย! เราต้องสู้!”
  ในอีกด้าน เซียงเฟิงหรั่นบินผ่านเสวี่ยอวิ๋นเจินและหันกลับมาด้วยความโกรธ “เราไม่ได้หนี เราแค่ไปหาความหวังใหม่ ไม่ว่าคนอื่นจะมองยังไง เราก็จะปล่อยให้ทุกอย่างจบลงทั้งหมดไม่ได้!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว