ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว นิยาย บท 985

“บัดซบ!”
  ในบรรดาผู้สมัครของตระกูลสายฝน โม่เฟิงเริ่มเศร้าโศกหลังจากได้เห็นผลการวัดของซูผิง ตะปูเก้าอันครึ่งคือผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก
  ถ้าซูผิงไม่ผ่านการทดสอบ อย่างน้อยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ทดสอบก็จะไม่ผ่าน!
  อย่างไรก็ตาม หากซูผิงผ่านการทดสอบ สถาบันวิถีสวรรค์จะตระหนักถึงศักยภาพของมนุษย์และมอบทรัพยากรจำนวนมหาศาลให้กับเขา ผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นข่าวร้ายสำหรับเขาและตระกูลสายฝน!
  โจแอนนาก้าวขึ้นไปทำการทดสอบในขณะที่โม่เฟิงครุ่นคิด
  ในไม่ช้าลูกบอลสีดำก็เปลี่ยนเป็นสีทอง จากนั้น ตะปูสีดำอันแรก อันที่สอง อันที่สามก็ส่องสว่าง…พวกมันแวววาวทีละอัน หลังจากนั้นก็ส่องสว่างสิบอัน แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุด ตะปูสีดำอันที่สิบเอ็ดและสิบสองก็เปลี่ยนเป็นสีทองเช่นกัน!
  ตะปูสีดำทั้งหมดต่างส่องสว่าง!
  ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ จนถึงตอนนี้ นางเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่สามารถส่องสว่างตะปูสีดำทั้งหมดได้!
  มีคนสังเกตเห็นว่าโจแอนนามาจากตระกูลสตรีดั้งเดิม
  ว่ากันว่าตระกูลของสตรีเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดกับเทพไททันโบราณ
  เทพไททันเป็นตระกูลระดับสูงที่มีประวัติอันยาวนาน อย่างไรก็ตามพวกเขาหายไปในชั่วข้ามคืน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน ตั้งแต่นั้นมา กองกำลังบริวารของพวกเขาก็ถูกตระกูลอื่นปราบลง
  หลังจากนั้นตระกูลสตรีดั้งเดิมก็ไม่สงบอีกเลยด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกนางไม่มีศักยภาพมากนัก และทำได้เพียงยืนหยัดในฐานะตระกูลระดับกลาง
  ชายวัยกลางคนที่รับผิดชอบการขึ้นทะเบียนผลรู้สึกประหลาดใจ เขามองไปที่โจแอนนาและสัมผัสได้ถึงบางอย่าง อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงผลการวัดที่โดดเด่นเช่นนี้ เขาจึงหันกลับไปมองชายชราทั้งสามคน เขารู้ว่าต้องทำอย่างไรหลังจากเห็นความประหลาดใจและความชื่นชมบนใบหน้าของพวกเขา
  ”ดีมาก เจ้าออกไปได้แล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
  โจแอนนารู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับผลลัพธ์ที่ได้ เธอไม่คิดว่าคุณสมบัติเทพของเธอจะสูงส่ง เธอรู้เกี่ยวกับการใช้หินทองคำ แต่เธอไม่เคยทดสอบคุณสมบัติเทพของเธอ อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถพัฒนาพลังต่อสู้ของเธอได้จริงๆ
  ไม่ว่าในกรณีใด ผลก็คือเธอจะต้องได้รับการยอมรับจากสถาบันวิถีสวรรค์อย่างแน่นอน
  เว้นเสียแต่ว่า…
  โจแอนนามองไปที่ชายชราสามคน พบว่าพวกเขากำลังจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
  จากนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจ และไม่กังวลอีกต่อไปนางกลับมายืนข้างซูผิง เธอตื่นเต้นมากที่คิดว่าเธอจะได้รับการยอมรับจากสถาบันวิถีสวรรค์… เป็นเรื่องง่ายสำหรับยอดฝีมือของสถาบันที่จะดึงหลุมศพกึ่งเทพกลับมายังแดนเทพอาเคี่ยน
  “เธอมีคุณสมบัติเทพสูงอย่างนั้นเลยหรอ?”
  ซูผิงประหลาดใจมาก และถังยู่หรานก็เช่นกัน เธอทำลายสถิติในตอนนี้!
  ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย แต่แล้วพวกเขาก็ตระหนักว่าผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองโจแอนนาหลังจากที่เธอทำลายสถิติ
  “เธอโกงหรือเปล่า?” ซูผิงพูดผ่านกระแสจิต
  โจแอนนาหันกลับมามองเขาแล้วพูดว่า “ใครจะกล้าโกงที่นี่? นายคิดว่าฉันเป็นเหมือนนายหรือไง?”
  “เธอไม่ได้ดีไปกว่าฉันเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น” ซูผิงมองนางแปลกๆ เขารู้จักโจแอนนามาเป็นเวลานาน เขาไม่เคยเห็นเธอมีเมตตามาก่อน คุณสมบัติเทพของเธอไม่ได้บอกว่าเธอเป็นนักบุญหรอ?
  หรือว่าคุณสมบัติเทพจะไม่เกี่ยวข้องกับความเมตตา?
  ซูผิงรู้สึกงุนงงกับสิ่งนี้ ถึงกระนั้นเขาค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ของพวกเขา แม้แต่ถังยู่หรานที่ผลแย่ที่สุดก็ยังส่องสว่างตะปูได้ถึงเจ็ดอัน ซึ่งทำให้เธอมีโอกาสที่ดีที่จะผ่าน
  “ตอนนี้เราเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจแล้ว” ซูผิงพูดเบาๆ
  โจแอนนาพูดอย่างเฉยเมย “ไม่ใช่เรา แต่เป็นฉัน”   “…”
  ซูผิงไม่รู้จะพูดอะไร
  การวัดยังคงดำเนินต่อไป เวลาผ่านไปและทั้งหมดสุดท้ายก็เสร็จสิ้น บางคนส่องสว่างได้สิบอัน ในขณะที่บางคนส่องสว่างได้ถึงสิบเอ็ดอัน แต่ไม่มีใครสามารถส่องสว่างทั้งสิบสองอันได้เหมือนโจแอนนา
  เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลง ชายวัยกลางคนปิดหนังสือที่เขาถืออยู่และแปรงที่ทำจากพลังเทพก็หายไป เขามองไปที่ชายชราทั้งสามและชี้ไปที่พวกเขา
  ชายชราที่ดุๆทางด้านขวาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเคร่งขรึมว่า “เราได้ตรวจสอบคุณสมบัติเทพของพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ข้าจะประกาศมาตรฐานการรับเข้าสถาบัน”
  ทุกคนเงี่ยหูฟังเมื่อได้ยินอย่างนั้น
  “คนที่ทำให้ตะปูเจ็ดอันขึ้นไปสว่างได้จะได้รับอนุญาต พวกเจ้าที่เหลือควรพัฒนาคุณสมบัติของเจ้า แล้วกลับมาใหม่” ชายชราพูดอย่างเย็นชา
  ทุกคนกระซิบพูดคุยกัน คนที่ผ่านมาตรฐานรู้สึกโล่งใจ ในขณะที่คนที่ส่องสว่างได้หกอันรู้สึกเสียใจ สำหรับคนที่ได้หนึ่งหรือสองตะปู พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่น่าจะผ่าน และคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า
  “ข้าไม่รู้ว่าเกณฑ์อยู่ที่เจ็ดอัน ไม่เห็นต้องถึงเก้าเลย”
  “เจ็ดอันก็พอหรอ? ทำไมไม่สิบ”
  “ทำไมต้องสิบ? เพราะเจ้าส่องแสงสิบอันหรอ?”
  บ้างก็ดีใจ บ้างก็อารมณ์เสีย
  โม่เฟิงมีใบหน้าดำมือสุด เขารู้ว่าผลของเขาไม่ดี แต่ตอนนี้เขาความหวังสุดท้ายของเขาหมดลงจริงๆแล้ว เขามองไปที่เจ้าหญิงแห่งตระกูลสายฝนอยู่อยู่ถัดจากเขา ซึ่งเป็นคนเดียวในตระกูลของเขาที่ผ่าน
  สายตาของเขาดูอันตรายราวกับงูพิษ
  คนอื่นๆ ก็มองไปที่เจ้าหญิงเช่นกัน  “พวกที่สอบไม่ผ่าน เจ้ามีทางเลือกสองทาง” ชายชราที่ดูอ่อนโยนซึ่งยืนอยู่ตรงกลางพูด “อย่างแรกคือออกจากสถาบันวิถีสวรรค์และขัดเกลาตัวเองต่อไป อย่างที่สองคือเข้าร่วมสำนักกระจกใจของสถาบันสถาบันวิถีสวรรค์และบ่มเพาะคุณสมบัติเทพของเจ้าที่นั่น เจ้าจะยังสามารถเข้าร่วมสถาบันวิถีสวรรค์ได้เมื่อบรรลุมาตรฐาน”
  “สำนักกระจกใจ?”
  “ข้าได้ยินมาว่าเป็นสถานที่สำหรับทำสมาธิ ทั้งหมดที่สอนที่นั่นมีแต่บทเรียนทางศีลธรรมที่ไร้ประโยชน์”
  ผู้คนในฝูงชนต่างกระซิบ
  “ตอนนี้โปรดยืนทางด้านซ้ายถ้าเจ้าต้องการออกไป” ชายชรายกมือขึ้นและชี้ไปทางซ้าย ฟองสบู่ผุดขึ้นมาทันที ผู้ที่เต็มใจจะออกจะถูกส่งตัวไป
  หลายคนส่ายหัวและยอมแพ้ พวกเขาเลือกด้วยตัวเองแทนที่จะเสียเวลาในสถาบันนั้น  ท้ายที่สุด การเรียนในสถาบันวิถีสวรรค์ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะแข็งแกร่งได้
  คุณสมบัติเทพไม่จำเป็นอย่างยิ่งหากต้องการจะแข็งแกร่งขึ้น
  ยอดฝีมือหลายคนไม่มีคุณสมบัติเทพ แต่พวกเขาก็ยังสามารถกลายเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ซึ่งทำให้เทพองค์อื่นตกตะลึง
  ซูผิงและคนอื่นๆ ที่ผ่านการทดสอบรออยู่เงียบๆ
  ในขณะนั้นถังยู่หรานก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “ผู้ชายคนนั้นยังอยู่”
  ซูผิงมองไปข้างหน้า เขาเห็นว่าโม่เฟิงเจ้าชายน้อยของตระกูลสายฝนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ผู้แพ้ที่อยู่ข้างๆเขาก็ไม่ขยับเช่นกัน
  นอกจากพวกเขาแล้ว เจ้าชายและเจ้าหญิงจากตระกูลอื่น ๆ ยังยืนกรานไม่ไปไหน พวกเขาดูเหมือนจะเต็มใจที่จะอยู่
  ดูเหมือนว่าสถาบันกระจกใจจะไม่ธรรมดา หรือไม่สถาบันวิถีสวรรค์ก็มีความสำคัญต่อพวกเขามาก ซูผิงคิด
  การแข่งขันระหว่างชนชั้นสูงนั้นโหดร้ายมาก และสถาบันวิถีสวรรค์ก็เป็นก้าวสำคัญสำหรับพวกเขาที่จะแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเข้าไปให้ได้ แม้ว่าจะต้องใช้ทางอ้อมก็ตาม
  ไม่นานหลังจากนั้น คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจากไป มีเพียงหนึ่งในสามเท่านั้นที่เลือกอยู่ต่อ
  ผู้ที่เลือกอยู่นั้นถูกชายชราอีกคนหนึ่งเอาไป
  ผู้ที่ผ่าน รวมทั้งซูผิง ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นศฺษย์ของสถาบันวิถีสวรรค์
  “ข้าหวังว่าเป้าหมายของเจ้าในสถาบันวิถีสวรรค์คือการไปถึงจุดสูงสุด ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าอะไรคือจุดสูงสุดในอาณาจักรแห่งเทพ?” ชายชราที่ดูอ่อนโยนละทิ้งรอยยิ้มของเขาและเปลี่ยนเป็นคนเคร่งขรึม  ในฝูงชน เจ้าชายผู้กล้าหาญตะโกนเสียงดังว่า “เทพโบราณ!”
  ชายชรามองไปที่เจ้าชายและพยักหน้า “ถูกต้อง เทพโบราณ! ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะตั้งเป้าที่จะเป็นเทพโบราณ!”
  ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างสับสน และพบว่าสถานการณ์นี้เหนือจริง เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เทพโบราณองค์สุดท้ายได้ปรากฏตัวขึ้น เทพโบราณทุกองค์เป็นมหาอำนาจที่สั่นสะเทือนโลกซึ่งมักจะเปลี่ยนความสมดุลของโลก
  “การบ่มเพาะเป็นภูเขาสูง ภูเขาลูกนี้เต็มไปด้วยหนามและความยากลำบาก เจ้าต้องเอาชนะความเกียจคร้าน ตัณหา ความไร้สาระ และจุดอ่อนอื่นๆ ของเจ้า แล้วหลอมรวมเป็นภูเขาเหมือนก้อนหิน นั่นเป็นวิธีเดียวที่เจ้าจะปีนต่อไปได้!
  “นี่ไม่ใช่ความต้องการ มันเป็นเพียงความหวังส่วนตัวของข้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุด การมีเป้าหมายจะป้องกันไม่ให้เจ้าฟุ้งซ่าน การพักผ่อนและข้อผิดพลาดจะไม่ได้รับการยอมรับบนวิถีสู่อำนาจสูงสุด ดังนั้นเจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเอง!” ชายชรากล่าวขณะพูดกับฝูงชน
  ทุกคนดูเคร่งขรึม เลือดในหัวใจของพวกเขาเดือด
  การบ่มเพาะนั้นมีพลังและเจ็บปวดมากกว่าสิ่งอื่นๆ ในโลก ดังนั้นจึงไม่สามารถยืนหยัดได้หากไม่มีจิตใจที่เข้มแข็ง
  “เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ ข้ายังไม่รู้จักเจ้าดีพอ มีสามสำนักในสถาบันวิถีสวรรค์ ได้แก่สำนักสวรรค์ยุทธ์ สำนักสวรรค์จิตและสำนักสวรรค์สามัคคี แต่ละสำนักมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เจ้าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับรายละเอียดในภายหลัง”
  พูดจบชายชราก็หายวับไป
  ชายวัยกลางคนผู้รับผิดชอบบันทึกผลพูดหลังจากที่ชายชราจากไป “เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ของสถาบัน ข้าจะพาเจ้าไปที่ภูเขาจัดสรรก่อน ซึ่งที่ปรึกษาจะตอบคำถามทั้งหมดของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะปฏิบัติตามกฎของเรา คนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง”
  เขาโบกมือหลังจากพูดจบ และทุกคนก็ย้ายไปที่ใต้ท้องฟ้าที่มีเปลวเพลิงสีม่วง ดูเหมือนจะเป็นโลกของชายวัยกลางคน
  หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าที่ร้อนแรงก็หายไป พวกเขาไม่ได้อยู่ในลานอีกต่อไป แต่อยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่
  นี่คือความสามารถของสภาวะเทพดวงดาวหรอ? เขาใช้พลังจากโลกของเขาได้อย่างราบรื่น ซูผิงคิด
  เขาเพิ่งรู้ว่าเขาถูกขังอยู่ในโลกใบเล็กๆ ร่วมกับคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดอาจถูกฆ่าตายถ้าชายคนนั้นมีเจตนาร้าย ท้ายที่สุดเขาเป็นจ้าวแห่งกฎและระเบียบทั้งหมดในโลกใบเล็กๆ ของเขา
  …
  พวกเขามาถึงภูเขาจัดสรร
  ยอดฝีมือที่มีกลิ่นอายทรงพลังและเสื้อคลุมของสถาบันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาแนะนำในฐานะที่ปรึกษาของสถาบันวิถีสวรรค์
  ซูผิงคุ้นเคยกับกลิ่นอายของสภาวะเทพดวงดาวแล้ว เขาพบว่าที่ปรึกษาทั้งหมดเป็นสภาวะเทพดวงดาว พวกเขาดูน่ากลัวกว่าที่เขาเคยเจอมาในสหพันธ์
  ที่ปรึกษาเหล่านี้แข็งแกร่งเท่ากับลอร์ดสวรรค์ไหม? ซูผิงสงสัย
  ไม่นาน ที่ปรึกษาก็อ่านกฎของสถาบันวิถีสวรรค์
  พวกเขายังแนะนำสำนักทั้งสาม
  ตามชื่อที่บอกไว้ สำนักสวรรค์ยุทธ์มุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ ศิษย์ของสถาบันนี้มักจะต้องทำภารกิจการต่อสู้ที่อันตราย พวกเขาจะต้องปกป้องสถาบันในกรณีที่มีการโจมตี
  ในทางกลับกัน สำนักสวรรค์จิตจะสอนทักษะการป้องกันตัวและการช่วยเหลือ
  สำหรับสำนักสวรรค์สามัคคีจะสอนทักษะต่างๆ รวมถึงเทคนิคโบราณที่หายไป
  ซูผิงและโจแอนนามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเลือกสถาบัน โจแอนนาเลือกสำนักสวรรค์ยุทธ์ ดูเหมือนว่านางจะชื่นชมสถาบันนี้มานาน
  สำหรับ ซูผิงเขาเลือกสำนักสวรรค์สามัคคี เขาอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น
  หลังจากพิจารณาอยู่นาน ถังยู่หรานก็เลือกสำนักสวรรค์ยุทธ์นางเป็นคนประเภทค่อนข้างก้าวร้าว
  “น่าเสียดายที่เราไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป” ซูผิงรู้สึกเสียใจนิดหน่อย เพราะพวกเขาสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาที่จำกัด ด้วยสิทธิ์ของพนักงานเท่านั้น พวกนางจะไม่สามารถคืนชีพได้อีกต่อไปหากเขาสุ่มพาพวกนางมาที่นี่อีกครั้งในภายหลัง
  พวกนางจะตายจริงๆถ้าพวกเขาถูกฆ่า
  ซูผิงไม่กล้าเสี่ยง ท้ายที่สุด มันคือแดนเทพอาเคี่ยนและมียอดฝีมือมากมาย พวกนางสามารถตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายได้ตลอดเวลา
  “ฉันจะถามยอดฝีมือสถาบันของฉันและดูว่าพวกเขาสามารถย้ายโลกของฉันมาที่นี่ได้ไหม?”โจแอนนากล่าว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ร้านอสูรดวงดาว (Astral Pet Store) ร้านขายอสูรดวงดาว