ตอนที่ 22 ไม่ยุติธรรม!
เขาชางซาน
เขาชางซานไม่ใช่เทือกเขาชื่อดังอะไร ทว่ากลับมีอาณาเขตคาบเกี่ยวถึงสองมณฑล
เขาชางซานทางเมืองหยางเฉิง ส่วนมากเป็นเพียงเขาเล็กๆ แยกออกมา ไม่ใช่เขาสูงที่อันตรายนัก
ยามนี้หวังจินหยางอยู่กลางหุบเขา
บนหลังมีเป้ใบหนึ่ง ในมือถืออาวุธมีดที่ใช้ทางการทหาร
เขาเหวี่ยงมีดฟันขวากหนามรกชัฏที่ขวางทางด้านหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
ยกโทรศัพท์กันน้ำที่ใช้ในกองทัพขึ้น “ผู้อำนวยการจาง คุณแน่ใจหรือว่าคนขึ้นเขามาจริงๆ?”
ในมือถือมีเสียงชายวัยกลางคนที่ดูใสซื่อ ทั้งแฝงความเจ้าเล่ห์อยู่บ้างตอบกลับมา “หลังจากหวงปินสลัดตัวพ้นเครื่องมือติดตามของเรา ก็โบกรถเข้าไปยังทางขึ้นเขาหมายเลขสาม นี่เป็นการให้ปากคำจากบริษัทเช่ารถที่เราสืบสวนมาได้ คนขับรถเห็นเขาขึ้นเขาไป ทั้งยังแบกเป้ไปด้วย ในเป้เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ไม่น้อย…”
“เขาถึงกระทั่งเตรียมน้ำและอาหารไว้ ทำไมพวกคุณถึงไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย?” หวังจินหยางไม่พอใจอยู่บ้าง
ต่อให้เขาชางซานจะเล็กยังไง หากโยนคนหนึ่งเข้าไปก็ยากจะหาพบอยู่ดี
หากทางหยางเฉิงถ่วงเวลาไว้สักหน่อยให้เขามาถึงก่อน คงไม่ต้องไล่ตามเป้าหมายให้ยุ่งยากเช่นนี้
คนในสายก็ไม่โกรธอย่างใด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็เพราะนึกถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก อย่างไรหวงปินก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองที่กำลังจะทะลวงด่าน หากพวกเราลงมือแล้วจับอีกฝ่ายไม่ได้ เขาอาจจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเมืองหยางเฉิงก็ได้…”
หวังจินหยางก็คร้านจะฟังเขาอธิบาย สูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ยว่า “แถวปากทางขึ้นเขา ผมหารอบหนึ่งแล้ว ไม่มีร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองคนหนึ่ง คิดจะอำพรางร่องรอยก็ไม่ใช่เรื่องยาก ปากทางขึ้นเขามีคนมาก การค้นหาจึงลำบากอยู่บ้าง ผมจะเข้าไปลึกอีกหน่อย รบกวนทางผู้อำนวยการช่วยเหลือด้วย ส่งคนมาเฝ้าสังเกตทางขึ้นเขาแต่ละแห่ง หากภายในสามวันหาอีกฝ่ายไม่พบ ภารกิจในครั้งนี้ผมทำได้เพียงละทิ้งเท่านั้น”
สิ้นเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่หวังจินหยางต้องการนัก
นอกจากนี้การสอบปลายภาคก็ใกล้เข้ามาแล้ว แม้จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา แต่ยังต้องแย่งชิงเอาที่หนึ่งเสียหน่อย เพื่อจะได้ทรัพยากรที่มากขึ้น
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้อำนวยการจางก็ไม่ปฏิเสธอะไร ตอบกลับว่า “ได้ หากมีข้อมูลอะไร พวกเราจะติดต่อนายอีกที หากหาคนไม่เจอจริงๆ ก็แล้วไป ครั้งนี้หาอีกฝ่ายไม่พบ ฉันจะรายงานไปยังรุ่ยหยาง ให้ทางรุ่ยหยางและซูเป่ยช่วยกันจับกุม”
แม้จะพูดเช่นนี้ ผู้อำนวยการจางก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
หวงปินระวังตัวเกินไป ไม่อย่างนั้นหากรอจนหวังจินหยางจับอีกฝ่ายได้ คงจะเป็นการสร้างผลงานไม่น้อย
ส่วนเขาเอง แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง ทว่าตั้งแต่มาหยางเฉิง ก็แทบไม่ได้ลงมือมาเกือบสิบปีแล้ว
หากเขาไปจับคนเอง มีความเป็นไปได้ที่จะถูกคนทุบตายอย่างยิ่ง
ส่วนอาวุธทางการทหาร ผู้ฝึกยุทธ์ย่อมไม่อาจสู้ไหว แต่อีกฝ่ายนั้นตั้งใจหลบหนี
หากหนีไปในแหล่งที่คนธรรมดาอยู่รวมกัน นั่นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
มีหลายครั้งที่ยอมไม่สร้างผลงาน ดีกว่าต้องทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรง
จับคนถือเป็นผลงาน แต่พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้น ถือเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง แม้จะจับคนได้ก็ไม่อาจหาอะไรมาลบล้างความผิดนั้นได้
ดังนั้นทางหยางเฉิงจึงเอาแต่สังเกตการณ์ ไม่ลงมือจับคนมาโดยตลอด
คาดไม่ถึงว่าวันสุดท้ายจะเกิดเรื่องผิดพลาด ก็ไม่รู้ว่า หวงปินทราบถึงจุดประสงค์ที่หวังจินหยางมาหยางเฉิงจึงได้หนีไปหรือไม่
แต่ผู้อำนวยการจางยังคงหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ในสายตาสังคมของผู้ฝึกยุทธ์ หวังจินหยางน่าจะไม่มีตำแหน่งอะไร?
เป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย หากไม่ใช่ว่าตัวเองจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ทั้งรู้ถึงความเก่งกาจรุ่นน้องคนนี้ เกรงว่าคงไม่เชิญเขามาหรอก
ทั้งสองคนสนทนาอีกไม่กี่ประโยค ก่อนหวังจินหยางจะวางสายไป แบกเป้เดินเข้าไปในเขาต่อ
สามวันคือเส้นตาย
ทั้งไม่จำเป็นต้องสามวันด้วยซ้ำ เกรงว่าถัดจากนี้อีกวัน หวงปินก็สามารถข้ามเขตหยางเฉิงไปได้แล้ว
ถึงเวลานั้นแม้จะจับคนได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนำกลับมาสร้างผลงานได้หรือเปล่า
—
เมืองหยางเฉิง
ย่านจิ่งหูหยวน
ฟางผิงไม่ได้คลุกตัวอยู่แต่ในห้องเหมือนหลายวันก่อน เรื่องที่ค่าปราณเพิ่มขึ้น แต่ร่างกายรับไม่ไหว ทำให้เขายังคงหวาดผวา
ดังนั้นกินข้าวเย็นเสร็จ ฟางผิงก็ไปออกกำลังกายที่หลังบ้านของตัวเอง
เขาไม่ได้ออกไปข้างนอก ย่านเก่าๆ ไม่มีฟิตเนสแต่อย่างใด สวนสาธารณะเล็กๆ ก็ถูกคุณลุงคุณป้ายึดครองหมดแล้ว ฟางผิงไม่อยากให้คนอื่นเห็นเขาเล่นละครลิง
ดีที่บ้านตัวเองมีลานอยู่แห่งหนึ่ง ไม่อย่างนั้น ยามนี้ก็คงไม่รู้ว่าต้องไปออกกำลังกายที่ไหน
ฟางผิงไม่มีอุปกรณ์อะไร ทำได้เพียงออกกำลังกายง่ายๆ เท่านั้น
เขาจึงวิดพื้น ซิทอัพ และลุกนั่ง ออกกำลังกายเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้
เห็นว่าลานด้านหลังยังพอมีที่ว่าง ฟางผิงวางแผนว่าพรุ่งนี้จะให้พ่อตัดไม้มาทำเป็นบาร์โหนสักหน่อย
ค่าปราณเพิ่มขึ้น จึงเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน
หากเป็นฟางผิงในชาติก่อน วิดพื้นสามสิบครั้ง เกรงว่าคงจะเหนื่อยหอบไปแล้ว
แต่ยามนี้ ครู่เดียวก็ทำได้กว่าห้าสิบครั้ง ฟางผิงยังรู้สึกว่าไม่เหนื่อยเหมือนที่คิดขนาดนั้น
ทำรอบละหนึ่งร้อยครั้ง คงจะไม่มีปัญหาอะไร
ภายหลังต้องพยายามออกกำลังกายทุกวันเช้าเย็น ไม่กี่วันร่างกายตัวเองก็คงจะปรับสภาพกับค่าปราณตอนนี้ได้แล้ว
ฟางผิงออกกำลังกายในลานบ้านอีกสักพัก ยามที่กำลังซิทอัพ ก็เห็นไฟชั้นบนแสงสว่าง จึงเผลอมองอยู่สองสามที
ชั้นบนเงียบสงบไร้เสียง นอกจากแสงสว่างจากไฟแล้ว ก็ไม่สังเกตเห็นคนอาศัยแต่อย่างใด
ฟางผิงกวาดสายตาไปอีกครั้ง ก่อนจะไม่สนใจอีก ออกกำลังกายของตัวเองต่อไป
—

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน