ตอนที่ 544 อย่ายั่วโมโหเขา (3)
………………..
ฟางผิงใช้พลังจิตใจตรวจสอบผ่านการปิดกั้นกลิ่นอายของตัวเอง แม้จะสัมผัสถูกม่านพลัง แต่ขั้นเก้าต่างกำลังยุ่งวุ่นวาย ไม่ได้รับรู้ถึงพลังจิตใจที่พยายามทะลวงเข้ามา เกรงว่าคงจะไม่สนใจเท่าไหร่เช่นกัน บางทีอาจจะคิดว่าสัมผัสถูกพลังของภิกษุคนนั้น
รู้ความสามารถของคู่ต่อสู้ล่วงหน้ายังคงมีประโยชน์ไม่น้อย
ตู้หงเผยสีหน้าหนักแน่น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดคนหนึ่งเก็บตัวอยู่เงียบๆ เกรงว่าจะแฝงความคิดฆ่าผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งจริงๆ
รอฆ่าได้คนหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ รู้ความสามารถย่อมไม่อาจท้าประลองอีก
แต่คนแรกที่ถูกท้าประลองนั้น หากยอมแพ้ไม่ทันเวลาคงจะเป็นปัญหาแน่
ยอดฝีมือขั้นเจ็ดคนนี้ ถ้าท้าประลองตู้หง ภายใต้การทุ่มสุดกำลัง บางทีอาจจะสามารถฆ่ายอดฝีมือที่หลอมสารจิงกับเลือดได้อย่างรวดเร็ว
ตู้หงไม่ได้มองภิกษุคนนั้นไปตรงๆ สูดลมหายใจว่า “แม่ทัพฟางต่อเลย ดูว่ายังมีอีกหรือเปล่า! คนพวกนี้มองประเทศจีนของเราเป็นเป้าหมายมาโดยตลอด เป้าหมายของเขา ไม่ใช่ฉันก็คือนาย แม่ทัพฟางระวังตัวเองด้วยละกัน”
ฟางผิงไม่พูดมาก เริ่มตรวจสอบอีกครั้ง หลังจากนั้นสักพัก ฟางผิงก็เอ่ยอย่างคาดไม่ถึงว่า “คนนั้น…ที่รอยสักเต็มตัวเป็นคนของเมืองโทเทมสินะ?”
“อืม”
“คนที่หดตัวอยู่ข้างหลัง บนแขนไม่มีรอยสัก นั่นเป็นปรมาจารย์!”
“เมืองโทเทมมีปรมาจารย์ด้วย?”
เวลานี้ตู้หงตกตะลึงไปแล้ว
หากพูดว่าแดนเทพปกรณัม แดนศักดิ์สิทธิ์พระพุทธเจ้าหรืออาณาจักรหมื่นหอคอยมี เขาคงเชื่อ
แต่เมืองโทเทมและเทือกเขาแอนดีสฝีมือไม่ได้แข็งแกร่ง นึกไม่ถึงว่าจะให้กำเนิดปรมาจารย์ได้ นี่ทำให้คาดไม่ถึงจริงๆ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ปรมาจารย์ของเมืองโทเทมถ่อมตัวขนาดนี้เพื่ออะไร?
หรือทำเพื่อต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์ประเทศจีนเช่นเดียวกัน?
ฟางผิงมองอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เกรงว่าจะไม่ใช่เพื่อต่อกรกับพวกเรา เสื้อคลุมสีดำพวกนั้นคือคนของเทือกเขาแอนดีสสินะ? สองประเทศนี้คงไม่ใช่พวกเดียวกัน? ปรมาจารย์เมืองโทเทมคนนั้นเหมือนจะจ้องยอดฝีมือที่หลอมสารจิงกับเลือดของพวกเขาอยู่”
เวลานี้ตู้หงรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมา ฟางผิงคนนี้ความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ
ปรมาจารย์สองคนที่พวกเขาปิดบังไว้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเขาค้นพบ
“แม่ทัพฟาง ยังมีอีกหรือเปล่า?”
“มี แดนเทพปกรณัมไม่ได้มีแค่ผู้ที่หลอมสารจิงกับเลือดคนเดียว มีสองคน นอกจากโรซิธคนนั้น ยังมีอีกหนึ่งคน คนที่ผมสีเปลวเพลิงนั้น ที่เหลือไม่มีแล้ว แต่ละฝ่ายโดยคร่าวๆ มีผู้ที่หลอมสารจิงกับเลือดหนึ่งคน คำนวณแบบนี้แล้ว ปรมาจารย์สองคน หลอมสารจิงกับเลือดหกคน ขั้นหกสูงสุดมีสิบเจ็ดคน ทั้งหมดยี่สิบห้าคนแล้ว ขั้นหกตอนปลายยี่สิบคน ตอนกลางห้าคน รวมกับพวกเราอีก การชิงสามสิบโควต้าไม่ได้ง่ายเลย อย่างน้อยต้องกำจัดขั้นหกสูงสุดคนหนึ่งถึงจะมีหวัง”
ตู้หงเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกล้ำอยู่บ้าง “ไม่ใช่แค่นั้น จะให้ดีที่สุดต้องจัดการหลายคนหน่อย นายรู้ความหมายของฉันสินะ”
“อืม เข้าใจ อันที่จริงคนพวกนี้แค่มาคุ้มกันอะไรทำนองนั้นสินะ” ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงทุกปีคนที่บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดอาจไม่ใช่คนที่อ่อนแอพวกนั้น แต่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่า”
“ถูกต้อง”
ตู้หงเอ่ยเสียงเบา “เพื่อชิงโควตา วิธีที่ดีที่สุดก็คือฆ่าพวกคนที่ไม่ใช่ทายาทของขั้นสุดยอด ให้พวกเขาไม่มีโอกาสไปช่วงชิงอีก อันที่จริงคนที่ตายมากที่สุดคือขั้นหกสูงสุด และผู้ที่หลอมสารจิงกับเลือด หากไม่เหนือความคาดหมายจะคว้าได้หนึ่งโควตา ตอนกลางและตอนปลายแทบจะเป็นทายาทขั้นสุดยอดทั้งหมด ขั้นสูงสุด ส่วนมากกลับมาจากรัฐบาลและมีพื้นเพทั่วไป ครั้งนี้รวมพวกเรา มีขั้นสูงสุดที่ยังไม่ได้หลอมสารจิงกับเลือดทั้งหมดยี่สิบห้าคน ทายาทขั้นสุดยอดไม่ถึงสิบคน สิบห้าคนที่เหลือ อย่างน้อยต้องมีคนตายห้าหกคนหรือบาดเจ็บหนักจนไม่มีแรงสู้ต่อแล้ว”
ฟางผิงกดเสียงหัวเราะว่า “พวกเราอยู่ตอนกลาง แกล้งเป็นทายาทขั้นสุดยอดเป็นยังไง?”
“นายอย่าคิดเลยดีกว่า อันที่จริงทุกคนมีข้อมูลหมดแล้ว แม้ตอนนี้จะไม่รู้ รอลงสนาม มีปรมาจารย์นั่งควบคุมก็จะรู้ได้แล้ว ปรมาจารย์พวกนี้มีข้อมูลส่งต่อซึ่งกันและกัน”
ฟางผิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะมองพวกหวังจินหยาง “ถ้าเป็นปรมาจารย์ให้ยอมแพ้ตรงๆ ซะ แน่นอนว่าเป้าหมายของพวกเขาน่าจะไม่ใช่พวกนาย เจอคนที่หลอมสารจิงกับเลือดลงสนาม ทำเป็นสู้ไม่ได้ ไม่ต้องทุ่มสุดแรง ไม่มีความหมาย แต่ขั้นหกสูงสุด ฟันพวกเขาให้รู้ดำรู้แดง ข่มขวัญคนอื่นไปเลย!”
ฟางผิงพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น เขาเชื่อว่าพวกเหล่าหวังทำได้อยู่แล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่หากต่อสู้ พลังชีวิตก็จะไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง นี่ไม่นับว่าไร้ประโยชน์จะเป็นอะไรได้อีก?
ประลองแลกเปลี่ยนความรู้ นั่นคงไม่เหมาะสมกับหลี่ฉางเซิง
ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของเขาก็คือเป็นหน่วยกล้าตายที่ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดหนึ่งคน ทั้งอาจไม่สามารถฆ่าสำเร็จเสมอไป ยังไงในสายตาพวกเขา หลี่ฉางเซิงก็เป็นแค่ร่างทองที่หลอมไม่สมบูรณ์เท่านั้น พูดให้ชัดเจนคือขั้นแปดยังไม่นับด้วยซ้ำ
ขั้นเก้าบางส่วนในสนามย่อมไม่เห็นของที่สิ้นเปลืองครั้งเดียวแบบนี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว
ทรมานอย่างไร้ประโยชน์ ไม่ใช่คำหยาบคายเสียทีเดียว
หลี่เต๋อหย่งไม่ได้พูดอะไร บางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเหมือนกัน อย่างเช่นอาวุธวิเศษที่สร้างจากสัตว์ปีศาจขั้นเก้าของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ชิ้นนั้นตกเป็นของใคร?
ก่อนหน้านี้ฟางผิงยังเอาน้ำแร่ชีวิตกลับมาบางส่วน แม้จะคิดว่าสิ้นเปลืองเสียเปล่า แต่บางครั้งก็พูดยาก
สุดท้ายผู้บัญชาการยังเผยแพร่วิชาลับดั้งเดิมออกไปด้วย
หมื่นวิถีเป็นหนึ่งจะกลายเป็นการเพิ่มพลังต่อสู้เป็นหลัก พลังชีวิตไม่ได้ไหลเวียนอย่างสิ้นเปลืองแล้ว แต่จะถูกเปลี่ยนเป็นการเพิ่มพลังต่อสู้แทน
หลี่ฉางเซิงในสภาพนี้…หลี่เต๋อหย่งมองสำรวจรอบๆ ขั้นเก้าพวกนี้อย่ายั่วโมโหเขาจะดีที่สุด
หากเจ้าหมอนั่นไม่สนใจการสิ้นเปลือง ต่อสู้ขึ้นมาหนึ่งครั้ง อาจจะมีคนตายจริงๆ ก็ได้
แม้ทั่วโลกจะมีศัตรูใหญ่ร่วมกันคือถ้ำใต้ดิน แต่ลงมือระหว่างกันเองก็ไม่มีความเกรงใจเช่นกัน
ถึงกระทั่ง…หลายคนมีความคิดจะลดทอนความสามารถของประเทศอื่น พอถึงตอนสุดท้ายจำเป็นต้องละทิ้งถิ่นฐาน ในอนาคตหากสถานการณ์เลวร้ายขึ้นมา ยอดฝีมือที่ควบคุมอาณาเขตไม่ไหวพวกนี้ นั่นจะสามารถเรียกกลับมาเป็นลูกน้องตัวเองได้
—————
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน