ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 326

ตอนที่ 326 เฉินกูผู้ยิ่งใหญ่
ไป่หลิง มังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้าต่างก็พากันยกย่องเฉินกู นอกจาก
ตัวตนสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิแล้ว ความอดทนที่ต้องปกปิ ดพลังของตัวเอง
เป็นร้อยปี ก็ทำให้พวกเขาเคารพได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินกูก็ยังเป็นถึงสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิ !
สัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ินั้นสูงส่งกว่าสัตว์อสูรทั่วไป เป็นธรรมดาที่จะต้อง
เจ็บปวดกับการดูหมิ่นแบบนี้มากกว่า !
“จิตใจของท่านเฉินกูผู้นี้ คู่ควรที่สัตว์อสูรจะเอาเป็นแบบอย่าง!”
ไป่หลิงชื่นชม
มังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้าต่างก็พยักหน้า “สายเลือดศักด์ิสิทธ์ิ
ตั้งแต่เกิดมา เราไม่อาจจะอิจฉาได้ แต่จิตใจของเฉินกูผู้นี้ เราสามารถ
เอาเป็นแบบอย่างได้ !”
สัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิสูงส่งกว่าพวกเขาไม่รู้กี่เท่า สัตว์อสูรนั่นยังทนรับ
การดูหมิ่นได้และสุดท้ายก็ได้รับอิสรภาพกลับมาจากความฉลาด
ของตัวเอง
แล้วพวกเขามีเหตุผลอะไรที่จะไม่ขยัน?
พวกเขาไม่ได้สงสัยในความจริงของเรื่องนี้ เนื่องจากจางหยูบอกว่า
มันคือเรื่องจริง เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นเรื่องจริง อย่างไม่ต้องสงสัย!
อันที่จริงจางหยูไม่ได้โกหก มันคือประสบการณ์ของกูเฉินจริง ๆ !
สิ่งที่จางหยูทำ ก็แค่แต่งเรื่องเพิ่มอีกเล็กน้อย เพื่อให้ภาพลักษณ์ของกู
เฉินดูสูงส่ง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น !
จางหยูไม่ได้รู้สึกผิดกับการทำแบบนี้ เรื่องนี้ต้องมีตัวเอก ตัวเอกต้อง
แตกต่างออกไป ภาพลักษณ์ที่งดงามของกูเฉิน จะทำให้เรื่องนี้น่า
ตื่นเต้น และน่าสนใจขึ้นไปอีกไม่ใช่รึไง ?
หลังจากที่สร้างภาพลักษณ์สัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิที่ไล่ตามอิสระ รวมถึง
แบกรับการดูหมิ่นเอาไว้ได้สำเร็จ จางหยูก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้าคิดว่าเรื่องนี้จบแล้วรึ ?”
จางหยูไม่รอให้พวกนั้นได้ตอบกลับ และพูดต่อทันที “เฉินกูเกิดมา
เป็นสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิที่ต่างจากตัวอื่น ๆ พรสวรรค์ที่เขามี ก็ยังถือ
ว่าสูงส่งในหมู่สัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิด้วยกัน หากเทียบกับมังกรสมมติ
เทพก็ไม่ได้ด้อยกว่า หลังจากที่ได้รับอิสระกลับมา เขาก็สาบานว่าจะ
เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกให้ได้ เขาจะปลดแอกสัตว์อสูรทุกตัว
ออกจากการเป็นทาส !”
“ชัดแล้วว่าเขาเป็นคนลงมือ !”
“หลังจากที่พยายามมาหลายร้อยปี ในที่สุดเขาก็ก้าวขึ้นไปยังระดับ
สูงสุดได้ และกลายเป็นพวกระดับสูงของโลก!”
ไป่ หลิงและคนอื่น ๆ ก็พากันคิดภาพตาม พวกระดับสูงสุดนั้น ชัด
แล้วว่าคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปป่ า ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
สำหรับสัตว์อสูรแล้ว มันยากที่จะก้าวขึ้นไปถึงระดับนั้นได้ !
เผ่ามนุษย์มีคนแบบนั้น และเผ่าสัตว์อสูรก็มีราชาสัตว์อสูรเพียงคน
เดียว ด้วยจำนวนที่ต่างกันขนาดนั้น ก็เห็นได้ว่าการที่สัตว์อสูรจะ
ก้าวขึ้นไประดับนั้นได้ มันยากแค่ไหน !
แม้ว่าสัตว์อสูรอยากจะขึ้นไปเป็นพวกระดับสูงสุด แต่การจะก้าวขึ้น
ไประดับนั้นได้ ก็ต้องมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว
กูเฉินที่เพิ่งก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ สามารถสู้กับเป้ยหลง และทำให้อีก
ฝ่ายบาดเจ็บได้บ้าง นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกระดับสูงสุดของ
สัตว์อสูรนั้นน่ากลัวแค่ไหน
“หลังจากที่ก้าวไปถึงระดับนั้นได้ เฉินกูได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เขา
เห็นว่าการใช้ชีวิตของสัตว์อสูรต่างก็ยากลำบาก และต้องเผชิญหน้า
กับภัยคุกคามจากผู้ฝึกสัตว์อสูร ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือ”
ตามที่จางหยูอธิบาย กูเฉินทำแบบนี้เพราะเห็นใจพวกสัตว์อสูร และ
ไม่ต้องการเห็นสัตว์อสูรต้องกลัวพวกผู้ฝึกสัตว์อสูร
“เขาคนเดียวได้ฝ่าฟันเข้ามาในโลกมนุษย์ และทำการเข่นฆ่าพวกผู้
ฝึกสัตว์อสูร ซึ่งในตอนนั้นสมาคมของพวกนั้นยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์
เขาฆ่าพวกนั้นไปกว่า 9 ใน 10 ทั่วทั้งเขตเหนือ, กลางและที่อื่น ๆ
โลหิตหลั่งรินเป็นสายน้ำ และเต็มไปด้วยซากศพของผู้ฝึกสัตว์อสูร
แม้แต่สมาคมในเขตกลางก็แทบจะไร้ผู้สืบทอด”
ตอนนั้นภาพลักษณ์ของเฉินกูก็สูงส่งขึ้นกว่าเดิม เพราะเห็นใจสัตว์
อสูร เขาจึงยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองบุกฝ่าเข้ามาในโลกมนุษย์ และ
ทำการเข่นฆ่าพวกผู้ฝึกสัตว์อสูร การกระทำที่สูงส่งเช่นนี้ มีสัตว์อสูร
ตัวไหนบ้างที่กล้าทำ
เจ้าแห่งเขตมืดต่างก็เคลิบเคลิ้มไปกับสิ่งที่จางหยูบอกเล่า พวกเขา
อยากจะก้าวตามรอยเท้าของเฉินกูในเรื่อง ซึ่งคือกูเฉินในชีวิตจริง
“บางทีเพราะท่านเฉินกูผู้นี้ สมาคมฝึกสัตว์อสูรถึงได้ตกต่ำลง และ
พวกเราก็มีพื้นที่พักหายใจกันได้” ไป่ หลิงคิด “ท่านเฉินกู คู่ควรที่จะ
ได้รับความเคารพจากสัตว์อสูรทั้งหมด !”
จางหยูเงียบไปชั่วครู่ และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เฉินกูแต่เดิม
คิดจะลบล้างผู้ฝึกสัตว์อสูรออกไปจากทวีป แต่เขายังไม่ทันได้ฆ่า
พวกผู้ฝึกสัตว์อสูรกลุ่มสุดท้าย มนุษย์ที่อยู่ในระดับสูงสุดก็ไม่พอใจ
ขึ้นมา! มนุษย์นั่นชื่อเป้ยหลง ซึ่งเป็นพวกระดับสูงสุดที่แข็งแกร่ง
ที่สุดของยุค และเฉินกูก็เพิ่งจะก้าวเข้าไปถึงระดับนั้นได้ เขาได้สู้กับ
เป้ยหลง การต่อสู้นี้สั่นสะเทือนไปทั้งโลกจนถึงสวรรค์ และผลลัพธ์
สุดท้ายไม่ต้องเดาเลยว่าต้องได้รับบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย…”
“เฉินกูเป็นสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิที่สูงส่ง เขาจะมีความหยิ่งทะนงแค่ไหน
กัน? เขาต้องการที่จะตายไปพร้อมกับเป้ยหลง แต่เขาก็คิดถึงเหล่า
สัตว์อสูร สัตว์อสูรต้องเผชิญหน้ากับภัยจากมนุษย์ที่เหลือ ดังนั้นเขา
จึงยอมลดเกียรติของตัวเอง และเลือกที่จะประนีประนอม…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ไป่ หลิงก็หนักใจขึ้นมา พวกเขาอยากจะเห็นคน
ของตัวเองหยิ่งทะนง ไม่ยอมก้มหัวให้กับใคร แม้ว่าพวกเขาจะต้อง
ตกเป็นทาสของมนุษย์ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะยอมประนีประนอม
แต่นี่เป็นครั้งแรกของเหล่าสัตว์อสูร ที่ตัวตนที่สูงส่งของสัตว์อสูร
ต้องยอมลดตัวทำเช่นนั้น
นี่มันอะไรกัน ?
เจ้าแห่งเขตมืดทั้งสามต่างก็พากันชื่นชมเฉินกู แต่ในเวลาเดียวกันก็
ยังรู้สึกเศร้าใจไปด้วย
ในตัวเฉินกูนั้น พวกเขาได้เห็นบุคลิกมากมาย ทั้งอดทน, ฉลาด,
วีรบุรุษ, เด็ดเดี่ยวและอื่น ๆ อีก….เฉินกูมีข้อดีทั้งหมดในโลกนี้ กระทั่ง
สายเลือดของเขาก็สูงส่ง เขาคือคนที่สมบูรณ์แบบ ไม่สิ ต้องบอกว่า
เป็นสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิที่สมบูรณ์แบบต่างหาก !
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นเฉินกูมาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกไป่ หลิง
ลดความชื่นชมของเฉินกูลง มันไม่ได้ส่งผลต่อความเคารพที่มีต่อเผ่า
สัตว์อสูรเลย
“หลังจากที่ตกลงกับเป้ยหลงแล้ว เฉินกูก็ได้กลับไปที่ป่าหวงหยวน
แม้ว่าเขาอยากจะฆ่าผู้ฝึกสัตว์อสูรทั้งหมด แต่สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้
และรับปากกับเป้ยหลงไว้ว่า ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะตายเพราะหมดอายุ
ขัย แต่เฉินกูก็จะไม่ลงมือกับพวกผู้ฝึกสัตว์อสูรอีก”
ตอนนี้นั้น ข้อดีของเฉินกูก็เพิ่มมาอีกข้อ นั่นก็คือการรักษาคำพูด
“หลายปีผ่านไป โลกได้ลืมเลือนเรื่องเฉินกูไปแล้ว แต่เฉินกูก็ยังคง
อยู่ดูแลเหล่าสัตว์อสูร เขาอยู่ภายในป่าหวงหยวนอย่างเงียบ ๆ โดยที่
ไม่มีใครรู้..” สุดท้ายจางหยูก็เล่าถึงตอนจบ
แต่เจ้าแห่งเขตมืดทั้งสามกลับรู้สึกว่าเรื่องมันยังไม่จบ เรื่องนี้พวกเขา
ยังอยากได้ยินอีก
“ท่านเฉินกูคือเกียรติยศของสัตว์อสูร !” มังกรแดงถึงกับน้ำตาไหล
ออกมา
“เขาอุทิศตัวเพื่อเผ่าสัตว์อสูร ข้ามังกรแดงไม่มีทางที่จะลืมเรื่องนี้ไป
ได้!” เขาดูตื้นตันและภูมิใจอย่างมาก “ข้ามังกรแดงชั่วชีวิตนี้ไม่เคย
เคารพใคร แต่นับจากนี้เป็นต้นไป ท่านเฉินกูคือต้นแบบของข้า !”
อินทรีย์ปีกฟ้าคือคนที่สุขุมที่สุดในหมู่เจ้าแห่งเขตมืดทั้งสาม แต่เมื่อ
รู้ถึงเรื่องของเฉินกู อินทรีย์ปีกฟ้าก็ยังต้องชื่นชม “ข้าไม่อาจจะทำ
อะไรสูงส่งแบบท่านเฉินกูได้ แต่ข้าจะยอมใช้ชีวิตของตัวเอง เพื่อ
ปกป้องชื่อเสียงของท่านเฉินกู ข้าสาบานว่าจะไม่ให้ใครมาทำลาย
เกียรติของท่านเฉินกูได้ !”
“เจ้าสำนัก ท่านเฉินกูยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ?” ไป่ หลิงแสดงท่าทีกังวล
ออกมา
พวกระดับสูงสุดแบบนั้นอยู่ได้เป็นหมื่นปี บางทีเฉินกูอาจจะยังมี
ชีวิตอยู่ !
มังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้าพากันมองไปที่จางหยูด้วยสีหน้า
เคร่งเครียด
จางหยูมองไปที่พวกนั้นและยิ้มออกมา “เขายังมีชีวิตอยู่และอยู่ในป่ า
หวงหยวน !”
ไป่ หลิงดวงตาเป็นประกายด้วยความแปลกใจ “ท่านเฉินกูยังมีชีวิต
อยู่รึ ? ดีจริง ๆ ! เจ้าสำนัก ท่านบอกได้หรือไม่ว่า ท่านเฉินกูอยู่ที่
ไหนกัน ?” นางชื่นชมเฉินกูอย่างมาก นางอยากจะขอบคุณเฉินกูกับ
การดูแลเผ่าสัตว์อสูร และการเสียสละเพื่อเหล่าสัตว์อสูร นางหวังที่
จะได้พบเฉินกูด้วยตัวเอง และอยากจะแสดงความชื่นชมที่นางมี
ออกมา
“อยู่ไหนนั้นข้าไม่รู้” แน่นอนจางหยูไม่มีทางบอกว่าเฉินกูคนที่ว่า
คือราชาสัตว์อสูรกูเฉิน “หากพวกเจ้าอยากจะพบเขา พวกเจ้าก็ต้อง
ไปตามหาด้วยตัวเอง ข้าไม่อาจที่จะช่วยเรื่องนี้ได้”
ไป่ หลิงผิดหวังขึ้นมา แต่การได้รู้ว่าเฉินกูยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ดีใจ
แล้ว
“เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าหมกมุ่นกับการตามหาตัวเฉินกูเลย และเหตุผลที่
ว่าทำไมข้าถึงได้เล่าเรื่องนี้ให้พวกเจ้าฟัง ก็เพื่อกระตุ้นพวกเจ้า เฉินกู
เคยตกเป็นทาสของมนุษย์ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ จนสุดท้ายตัวเองก็ได้
อิสระกลับมา จากนั้นเขาก็ขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของโลกได้ พวกเจ้า
ได้รับการดูแล และมีการเป็นอยู่ที่ดีกว่าเฉินกูไม่รู้กี่เท่า แล้วมีเหตุผล
อะไรที่พวกเจ้าจะพัฒนาไม่ได้ ?” จางหยูพูดด้วยท่าทีเฉยเมย
“เจ้าคือคนที่มีสายเลือดจิ้งจอกเวทย์ เจ้ามีสายเลือดมังกรเพลิง เจ้ามี
สายเลือดอินทรีย์ปีกทอง พรสวรรค์ของพวกเจ้าก็ไม่ได้แย่ แต่เป้าหมาย
ของพวกเจ้าคือการบ่มเพาะให้ถึงแค่ขอบเขตหลิงซวนงั้นรึ ?”
มังกรแดงถามขึ้นมาด้วยความลังเล “เจ้าสำนัก เราสามารถบ่มเพาะ
ขึ้นไปสูงกว่านั้นได้จริง ๆ รึ ?”
เขารู้สึกว่าจางหยูตีค่าพรสวรรค์ที่พวกเขามีสูงเกินไป ยังไงซะพวก
เขาก็ทำการบ่มเพาะกันมาหลายปี กว่าที่จะขึ้นมาถึงขอบเขตตันซวน
ได้ การที่ทะลวงผ่านขึ้นไปขอบเขตหลิงซวนได้นั้นพวกเขาก็ดีใจ
แล้ว พวกเขาจะคาดหวังอะไรไปได้มากกว่านี้ ?
หากบอกว่าไป่ หลิงมีหวังที่จะพัฒนาได้สูงขึ้นไปอีกนั้นพอฟังได้ แต่
การที่บอกว่าเขาทำแบบนั้นได้ เขาไม่ได้มีความมั่นใจเช่นนั้น
“ข้าไม่คิดสงสัย” จางหยูยิ้มออกมาเล็กน้อย “พรสวรรค์ตัดสินได้แค่
ความเร็วในการพัฒนา ไม่อาจที่จะตัดสินขีดจำกัดของคนได้ ยิ่งไป
กว่านั้นพรสวรรค์ของพวกเจ้าก็ไม่ได้เลวร้าย ด้วยการที่มีสำนักคอย
ช่วย การพัฒนาของพวกเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ตราบใดที่พวก
เจ้าขยันและมั่นใจในตัวเอง พวกเจ้าจะไม่ด้อยไปกว่าใครในอนาคต!”
เมื่อได้ยินที่จางหยูพูดมา มังกรแดงก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมากว่าเดิม
“ข้าไม่อยากคิดถึงขอบเขตตุ้นซวน แต่หากเป็นขอบเขตหลี่ซวน….
ข้าอาจจะทำได้” มังกรแดงแสดงสีหน้าจริงจังออกมา
ก่อนหน้านี้ที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักคังเฉียง เป้าหมายของเขาคือการกระตุ้น
สายเลือด และขึ้นไปถึงขอบเขตหลิงซวน แต่ตอนนี้ขอบเขตหลิงซวน
อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ เป็นธรรมดาที่เป้าหมายของเขาต้องเพิ่มขึ้น
ไปอีก ขอบเขตหลี่ซวนใช่ว่าจะไกลเกินเอื้อม !
จางหยูเน้นขึ้นมาอีกรอบ “ข้าคาดหวังในตัวพวกเจ้า !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก