ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 330

ตอนที่ 330 ความแข็งแกร่งของเจ้าสำนัก
ความสามารถของโหวเทียนหมางนั้นสูงส่ง ไม่นานเขาก็ทำอาหาร
สำหรับเสี่ยวหร่านมาได้เต็มโต๊ะ นอกจากนี้เขายังทำอาหารให้กับคน
ที่เหลือในสำนักคังเฉียงด้วย
ในโรงอาหารมีแต่กลิ่นหอมของอาหารที่ลอยอบอวล
จางหยูค่อยเดินเข้าไปในโรงอาหาร โหวเทียนหมางก็รีบพูดขึ้นทันที
“เจ้าสำนัก นี่คือโต๊ะที่ข้าเตรียมอาหารไว้ให้กับสัตว์อสูรในพันธะ
สัญญาของท่าน”
“รบกวนท่านจริง ๆ” จางหยูพูดอย่างสุภาพ และรีบบอกกับเสี่ยว
หร่าน “ขอบคุณท่านโหวซะสิ”
เสี่ยวหร่านดวงตาเป็นประกายขึ้นมา “ขอบคุณท่านโหว”
โหวเทียนหมางรีบพูดขึ้นทันที “ไม่ ไม่ คำว่าท่านนี้ ผู้น้อยคงรับ
ไม่ได้”
“ท่านโหว อย่าถ่อมตัวไป” จางหยูยิ้มออกมา “นอกจากนี้แล้ว ท่านก็
เรียกนางว่าเด็กน้อยเหมือนศิษย์ทั่วไปก็ได้”
ถึงจะได้ยินแบบนั้น แต่โหวเทียนหมางจะเอาความกล้ามาจากไหน
ที่จะเรียกเสี่ยวหร่านแบบนั้น
จางหยูพูดต่อ “ตำแหน่งมันก็แค่ชื่อ ไม่ต้องสนใจอะไรมาก ในอนาคต
ข้าต้องรบกวนท่านให้ทำอาหารให้กับเสี่ยวหร่านอีก”
หลังจากนั้นจางหยูก็ไม่ได้สนใจท่าทีของโหวเทียนหมาง เขาได้บอก
กับเสี่ยวหร่าน “เอาล่ะเสี่ยวหร่านรีบกินได้แล้ว”
เมื่อเสี่ยวหร่านไปที่โต๊ะ จางหยูก็มองคนอื่น ๆ ในโรงอาหารและพูด
ขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเองก็กินด้วยสิ”
เมื่อเห็นว่าจางหยูเริ่มกิน เซียวเหยียนและคนอื่น ๆ รวมไปถึงพวก
หลินจื้อเป่ ยก็เริ่มกินเช่นกัน
ทุกคนต่างก็อารมณ์ดี โดยเฉพาะพวกหลินจื้อเป่ ย แม้ว่าฐานะของ
พวกเขาจะไม่ได้ต่ำต้อย แต่พวกก็แทบไม่มีโอกาสที่จะได้กินอาหาร
ที่โหวเทียนหมางทำขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาสามารถกินมันได้ทุกวัน
ในอดีตพวกเขาไม่กล้าคิดฝันถึงเรื่องนี้เลย
ยังไงซะโหวเทียนหมางก็คือปรมาจารย์กำหนดอาหารอันดับหนึ่ง
ของเขตเหนือ ดังนั้นพวกเขาไม่ได้มีอำนาจพอที่จะสั่งการคนแบบ
นั้นได้
ในโรงอาหารมีแค่คนเดียวที่ดูเหม่อไป ซึ่งก็คืออู่ซินซิน สายตาของ
นางมองไปที่เสี่ยวหร่านอยู่ตลอด นางไม่ได้สนใจอาหารบนโต๊ะ
ด้วยซ้ำ
“สัตว์อสูรน้อยที่แสนงดงาม” อู่ซินซินตาเป็นประกาย เงาในตานาง
สะท้อนภาพของเสี่ยวหร่านออกมา
“ซินซิน กินได้แล้ว !” อู่เฉินเห็นท่าทีประหลาดของลูกสาว ก็อด
ไม่ได้ที่จะดุนาง
อู่ซินซินละสายตากลับมาและตอบกลับ “โอ้”
โรงอาหารนั้นเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเพราะกลัวว่าจะ
โดนแย่งอาหารไป
จางหยูกินเพียงเล็กน้อย และเอาแต่มองดูเสี่ยวหร่าน หลังจากนั้นสัก
พักเขาก็มองไปรอบ ๆ และเกิดสงสัยขึ้นมา “แปลก วันนี้เหมือนโรง
อาหารมันจะว่างไปหน่อย….”
เซียวเหยียนที่อยู่ไม่ไกลได้ยินคำพูดของจางหยู ก็อดไม่ได้ที่จะหยุด
กินแล้วตอบกลับ “เจ้าสำนัก วันนี้พวกมังกรแดงไม่มา”
จางหยูรู้ทันที “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรู้สึกว่าที่นี่มันว่าง กลับเป็นว่า
พวกนั้น…”
ไม่ใช่แค่มังกรแดง อินทรีย์ปีกฟ้าและไป่หลิงรวมถึงสัตว์อสูรต่างก็
ไม่ได้มาที่นี่
“พวกนั้นดูคึกมาตลอดนิ ทำไมวันนี้พวกนั้นถึงไม่มาที่นี่กัน?” จางหยู
สงสัยขึ้นมาและถามเซียวเหยียน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกนั้นไปไหน?”
เซียวเหยียนส่ายหน้า “พวกนั้นออกไปกันตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมากัน
เลย”
เมื่อได้ยินแบบนั้นจางหยูก็มองไปทางป่ าหวงหยวนด้วยสีหน้า
ครุ่นคิด
….
ที่ป่ าหวงหยวนบนภูเขาน้ำแข็งที่มีน้ำแข็งหนากว่า 10 ฟุตคอยแยก
เขตมืดกับเขตลึกออกจากกัน
ที่ด้านบนมีห้องโถงน้ำแข็ง ซึ่งแต่เดิมแล้วเป็นบ้านของสัตว์อสูร
ขอบเขตหลิงซวนขั้นสูง เนื่องจากกูเฉินได้เข้าร่วมกับสำนักคังเฉียง
และเป็นอาจารย์ของเหล่าสัตว์อสูร ห้องโถงแห่งนี้จึงตกเป็นของกู
เฉิน และเป็นห้องเรียนสำหรับเหล่าสัตว์อสูร
ตอนนั้นกูเฉินเพิ่งจะสอนเสร็จ เขากำลังจะกลับแต่ท่าทีของมังกร
แดงและอินทรีย์ปีกฟ้าทำให้เขาอยู่ต่อ มังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้า
หลับตาลง พร้อมกับร่างกายที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป พลังของพวกนั้น
เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นสัญญาณของการทะลวงผ่าน
ไป่ หลิงและสัตว์อสูรตัวอื่นได้สติจากพลังของทั้งคู่ และรีบออกไป
รอที่นอกห้องโถงทันที
“อาจารย์กู” หลังจากที่ออกมาจากห้องโถงแล้ว ไป่หลิงก็พบกับกู
เฉินที่รออยู่ด้านนอก และรีบทำความเคารพทันที สัตว์อสูรที่เหลือ
เองก็ทำความเคารพกูเฉินเช่นกัน
ฐานะของกูเฉินไม่ใช่แค่อาจารย์ของสำนักคังเฉียง แต่ยังเป็นราชา
สัตว์อสูรของเหล่าสัตว์อสูร และยังเป็นสัตว์อสูรระดับสูงสุดอีกด้วย
“อาจารย์กู ท่านยังไม่กลับรึ ?” ไป่ หลิงรวบรวมสติและถามขึ้นมา
กูเฉินโบกมือและมองไปที่มังกรแดงกับอินทรีย์ปีกฟ้าที่อยู่ในโถง
น้ำแข็ง อินทรีย์หิมะยืนอยู่ด้านหลังกูเฉินด้วยท่าทีเคารพราวกับ
พ่อบ้าน
เมื่อเห็นว่ากูเฉินไม่ได้ตอบอะไรกลับ ไป่หลิงก็ไม่กล้าจะพูดอะไร
ออกมาอีก นางหันกลับไปสนใจมังกรแดงและอินทรีย์ปีกฟ้าที่อยู่ใน
ห้องโถงน้ำแข็ง
“สายเลือดของพวกนั้น…” กูเฉินมองดูอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถามไป่ หลิง
“เจ้าสำนักกระตุ้นให้พวกนั้นแล้วรึ ?”
ไป่ หลิงคิดอยู่สักพักและตอบกลับ “เจ้าสำนักบอกวิธีการกระตุ้น
สายเลือดให้กับพวกเขา พวกเราเพิ่งจะไปเก็บวัตถุดิบต่าง ๆ สุดท้าย
พวกเขาก็เก็บกันได้ครบเมื่อเช้านี้ จากนั้นพวกเขาก็ดูดซับมัน….
อาจารย์กู พวกเขากระตุ้นสายเลือดขึ้นมาแล้วรึ?”
กูเฉินแปลกใจ “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักจะมีความสามารถที่น่า
อัศจรรย์เช่นนี้”
แม้ว่าจะไม่ได้ตอบคำถามของไป่ หลิงโดยตรง แต่คำพูดของกูเฉินก็
บอกอ้อม ๆ ว่า ทั้งสองได้กระตุ้นสายเลือดขึ้นมาแล้ว
“สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ก็เหมือนกับกำลังกระตุ้นสายเลือดของตัวเองขึ้นมา”
กูเฉินมองไปที่สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ และตาเป็นประกายขึ้น “การกระตุ้น
สายเลือด มันง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?”
เขาเกิดมาเป็นสัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิ เขาเกิดมาพร้อมกับพลังของ
สายเลือด ไม่จำเป็นต้องทำการกระตุ้นสายเลือดเลย
แต่สัตว์อสูรนั้นต่างออกไป ตราบใดที่ไม่ใช่สัตว์อสูรศักด์ิสิทธ์ิ ก็จะ
มีวิธีการมากมายในการกระตุ้นสายเลือด ความทรงจำที่ส่งต่อผ่าน
สายเลือดนั้นจะได้มาก็ต่อเมื่อหาทางกระตุ้นสายเลือดขึ้นมาได้ แต่
สัตว์อสูรส่วนมากไม่รู้วิธีการกระตุ้นสายเลือดขึ้น พวกเขาต้องทดสอบ
กันเองนับครั้งไม่ถ้วน กว่าที่จะสำเร็จได้ ถึงจะแบบนั้นสัตว์อสูร
ส่วนมากก็ไม่อาจจะทำการกระตุ้นสายเลือดของตัวเองขึ้นมาได้
“การที่เจ้าสำนักเปิดชั้นเรียนสัตว์อสูรขึ้นมานี้มีเป้าหมายอะไรกัน?”
กูเฉินสงสัย
ชั้นเรียนสัตว์อสูรมีแต่สัตว์อสูร การสั่งสอนสัตว์อสูร….ไม่ใช่ว่าเป็น
ภัยต่อมนุษย์รึไง ?
สัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งกว่า และเป็นภัยต่อมนุษย์ กูเฉินไม่รู้จริง ๆ ว่า
จางหยูมีเป้าหมายอะไร กับการทำแบบนี้
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของกูเฉิน ไป่ หลิงก็ลังเลแต่ก็พูดขึ้น “อาจารย์
กู ข้าอาจจะรู้ว่าทำไมเจ้าสำนักถึงได้ทำเช่นนี้ แน่นอนว่าเจ้าสำนักเป็น
มนุษย์ แต่เจ้าสำนักกับเผ่าสัตว์อสูร…มีต้นกำเนิดบางอย่างที่คล้ายกัน
ข้าไม่อาจจะบอกท่านได้ ข้าบอกได้แค่ว่าท่านสามารถถือว่าเจ้าสำนัก
เป็นสัตว์อสูรครึ่งหนึ่งก็ได้ ถ้าหากวันหนึ่งเผ่ามนุษย์และสัตว์อสูร
เปิดศึกกันขึ้นมาจริง ๆ เจ้าสำนักก็ใช่ว่าจะอยู่ฝั่งมนุษย์เต็มตัว”
“เจ้าสำนักมีความสัมพันธ์กับเผ่าสัตว์อสูรรึ?” กูเฉินยักคิ้ว “มนุษย์จะ
เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรได้ยังไง ?”
ไป่หลิงเงียบไป นางไม่อาจจะพูดออกมาได้หากไม่ได้รับอนุญาต
จากจางหยู
ยิ่งไป่ หลิงเงียบเท่าไหร่ กูเฉินก็ยิ่งสงสัยเท่านั้น เขารู้สึกได้ว่าไป่ หลิง
ไม่ได้โกหก เขามั่นใจมากว่าไป่ หลิงไม่กล้าพอที่จะโกหกเขา ซึ่งทำ
ให้เขาสงสัยอย่างมาก เจ้าสำนักกับสัตว์อสูรมีความเกี่ยวข้องอะไร
กัน ?
“เจ้าเหมือนจะรู้จักเจ้าสำนักดี ?” กูเฉินมองไปที่ไป่หลิงด้วยท่าที
สนใจ
“ข้าไม่ได้รู้อะไรมาก แค่รู้มากกว่าคนอื่น” ไป่หลิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นเจ้าสำนักแข็งแกร่งระดับไหน?” กูเฉินอยากรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก
แล้ว เขาเดาว่าจางหยูแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ แต่จางหยูแข็งแกร่ง
แค่ไหนนั้นเขาไม่แน่ใจ ไป่ หลิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนจะสนิทกับ
จางหยู เป็นธรรมดาที่เขาจะอดถามคำถามที่กวนใจเขามานานไม่ได้
ไป่ หลิงแปลกใจ “ท่านก็ยังไม่รู้รึ ?”
กูเฉินยิ้มออกมา “ข้ารู้แค่ว่าเจ้าสำนักแข็งแกร่งอย่างมาก และบางที
อาจจะแข็งแกร่งกว่าราชามังกร แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน”
หากนับเคลื่อนย้ายพริบตาและเบาะแสอื่น ๆ แล้ว เขาก็เดาได้ว่า
จางหยูนั้นแข็งแก่งและอาจจะแข็งแกร่งกว่าเป้ยหลง “เจ้ารู้เกี่ยวกับ
เจ้าสำนัก เจ้าน่าจะรู้ความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่รึ ?”
จางหยูนั้นลึกลับ !
แม้ว่ากูเฉินจะไม่ได้อคติต่อจางหยูแล้ว แต่เขาก็สงสัยเรื่องความ
แข็งแกร่งที่จางหยูมี !
เขาสงสัยว่าเจ้าสำนักที่บังคับให้เขาเข้าร่วมสำนักคังเฉียง และตกลง
รับปากกับเขาไว้นั้น มีความแข็งแกร่งมากเพียงใด…
“จริง ๆ แล้วข้าเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าสำนักแข็งแกร่งเพียงใด” ไป่หลิงเงียบ
ไปก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
กูเฉินตะลึง เขาคิ้วขมวดขึ้นมาทันที “เจ้าไม่รู้รึ ?”
ไป่ หลิงตอบกลับอย่างใจเย็น “เจ้าสำนักแข็งแกร่งแค่ไหนนั้น แม้แต่
คนของสำนักคังเฉียงก็ไม่มีใครรู้ แต่…”
“แต่อะไร ?”
“แต่มีศิษย์ในชั้นเรียนมนุษย์ เคยพูดถึงความแข็งแกร่งของเจ้าสำนัก”
ไป่ หลิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่รู้ว่าพวกนั้นพูดความจริงหรือไม่
หากท่านอยากฟัง ข้าก็จะเล่า แต่ข้ารับรองไม่ได้ว่ามันคือความจริง”
กูเฉินยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร”
ไป่ หลิงพยักหน้า นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และแสดงสีหน้าเคร่งเครียด
ออกมา “อาจารย์กู เคยได้ยินเรื่องเฒ่าเทียนจีหรือไม่ ?”
“เฒ่าเทียนจีรึ ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน “กูเฉินครุ่นคิดแต่สุดท้ายเขาก็
ส่ายหน้า
“แล้วผู้ทำนายสวรรค์ล่ะ ? ท่านเคยได้ยินรึไม่ ?”
“ผู้ทำนายสวรรค์? อาชีพพิเศษงั้นรึ ?” กูเฉินตะลึง
ชัดแล้วว่ากูเฉินไม่เคยได้ยินเรื่องเฒ่าเทียนจี หรือผู้ทำนายสวรรค์มา
ก่อน
ไป่หลิงมองไปที่กูเฉินด้วยสีหน้าสงสัย ราวกับว่ากูเฉินกำลังโกหก
ถึงแม้ว่าเฒ่าเทียนจีจะลึกลับ แต่กูเฉินก็น่าจะเคยได้ยินไม่ใช่รึไง?
ต้องรู้ก่อนว่ากูเฉินเป็นถึงราชาสัตว์อสูร !
ไป่ หลิงไม่ได้คิดนานนัก นางพูดขึ้นมาช้า ๆ “ตามที่หนิวซิงไห่และ
เหลยเจี้ยนบอกมา เขาคือคนที่มีสายอาชีพพิเศษที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่
โบราณ อาชีพนี้สามารถเห็นความลับของสวรรค์ และสามารถ
ทำนายชะตาผู้คนได้ อาชีพนี้ลึกลับและสูงส่งกว่านักปรุงยา ซึ่งเฒ่า
เทียนจี นั้น ก็เป็นปรมาจารย์ทำนายสวรรค์ระดับ 6 ดาว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าสำนัก ?”กูเฉินถามขึ้นมา
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ทำนายสวรรค์มาก่อน รวมถึงชื่อของเฒ่าเทียน
จีด้วย
ไป่หลิงพูดต่อ “เฒ่าเทียนจี ด้วยความสามารถปรมาจารย์ทำนายสวรรค์
6 ดาวนั้น ไม่มีใครในโลกที่เขามองไม่ออก แต่เขากลับมองเจ้าสำนัก
ไม่ออก เขาสงสัยว่าความแข็งแกร่งของเจ้าสำนักอาจจะเกินกว่า
ขอบเขตตุ้นซวน”
เหนือกว่าขอบเขตตุ้นซวน !
กูเฉินแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา สายตาเขาแสดงความตกตะลึง
“นั่นคือสิ่งที่เฒ่าเทียนจีบอกมารึ ?”
“นี่คือสิ่งที่หนิวซิงไห่และเหลยเจี้ยนเล่ามา จะจริงหรือไม่นั้น..ข้าเอง
ก็ไม่มั่นใจ” ไป่หลิงลังเลและพูดต่อ “นอกจากหนิวซิงไห่กับเหลย
เจี้ยนแล้ว เซี่ยเฟิงเองก็บอกว่า เขาเคยเห็นเจ้าสำนักจัดการกับผู้ที่อยู่
ขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงสุด !”
ขอบเขตตุ้นซวนขั้นสูงสุด คือขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์ ซึ่งเท่ากับ
ตัวตนระดับสูงสุด
กูเฉินหายใจถี่ขึ้น “อีกฝ่ายเป็นใครกัน ? ผลลัพธ์เป็นยังไง ? เจ้าสำนัก
ชนะรึแพ้กัน ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก