ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 349

ตอนที่ 349 ปลดเปลื้องภาระ
จางหยูเดาเอาไว้แล้วว่า ชะตากรรมของเหล่าสัตว์อสูรขอบเขตตุ้น
ซวนจะเป็นยังไง หลังจากที่เฉินกูโกรธ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจจะห้าม
เฉินกู ปัญหานี้เผ่าสัตว์อสูรต้องแก้ไขกันเอาเอง
หลังจากที่กลับมายังสำนักคังเฉียง จางหยูก็เรียกภารกิจออกมาดู เพื่อ
ตรวจสอบความก้าวหน้า
[ภารกิจรองที่ 7 : กลุ่มอาจารย์ (รับพวกขอบเขตตุ้นซวนหรือสูงกว่า
มาเป็นอาจารย์ ความก้าวหน้า 8/10)]
ราชาสัตว์อสูร ซู่เหยียนและสัตว์อสูรขอบเขตตุ้นซวนทั้งหกตัว
ตอนนี้จำนวนอาจารย์ขอบเขตตุ้นซวนของสำนัก ขาดอีกแค่ 2 คนก็
จะครบข้อกำหนด สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ 7 จาก 8 เป็นสัตว์อสูร
และมีมนุษย์อยู่เพียงคนเดียวซึ่งก็คือซู่เหยียน
จางหยูยิ้มออกมา “เฉินกูผู้นี้คือดาวนำโชคของข้าจริง ๆ !”
รู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดี ที่รับพวกระดับสูงสุดของสัตว์อสูร
เข้ามายังสำนัก นอกจากนี้เฉินกูยังช่วยให้เขาได้ทักษะสร้างร่างเทียม
ขึ้นมาด้วย
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ด้วยความช่วยเหลือจากเฉินกู แม้ว่าพวกระดับ
สูงสุดของมนุษย์ทั้งสี่ หรือเผ่ามังกรจะมาที่นี่ เขาก็ไม่กลัว !
“เมื่อข้าร่วมมือกับเฉินกูแล้ว มันก็ไม่มีใครในโลกที่ข้าไม่อาจจะ
เทียบได้” จางหยูมั่นใจอย่างมาก
“นอกซะจากว่า พวกระดับสูงสุดทั้งสี่ของมนุษย์กับราชามังกรร่วมมือ
กัน ไม่งั้นก็ไม่มีใครเป็นภัยต่อสำนักคังเฉียงได้ !” พวกระดับสูงสุด
ทั้งสี่ของมนุษย์กับราชามังกรร่วมมือกัน มันเป็นไปได้ด้วยรึ ?
นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่ทั้งสี่ จะเชื่อใจราชามังกรหรือไม่ แม้ว่าพวกเขา
จะเชื่อ แต่ด้วยเกียรติของราชามังกรแล้ว เกรงว่าคงไม่มีทางให้ความ
ร่วมมือกับทั้งสี่คนแน่
ตอนที่เฉินกูกับสัตว์อสูรกลับไปแล้ว จางหยูก็ได้เคลื่อนย้ายกลับขึ้น
ไปในอากาศ และทำการบ่มเพาะต่อ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระดับ
การบ่มเพาะของเขานั้นพัฒนาขึ้น แม้ว่าจะติดอยู่ขอบเขตตุ้นซวนขั้น
ต่ำ แต่คงใช้เวลาไม่นานที่จะขึ้นไปถึงขั้นกลางได้ !
ในสายตาของจางหยูแล้ว การเลื่อนขั้นนี้สำคัญกว่าสิ่งใด !
ตราบใดที่ระดับการบ่มเพาะเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นขอบเขตตุ้นซวนขั้น
กลาง ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ตอนนั้นเฉินกู
ก็ไม่อาจจะเป็นคู่มือของเขาได้ !
“ตอนนี้ข้าเป็นพวกระดับสูงในหมู่ขอบเขตตุ้นซวนขั้นสมบูรณ์แล้ว
ข้าพอจะทัดเทียมกับพวกระดับสูงสุดของมนุษย์ได้ แต่ถ้าเทียบกับ
พวกระดับสูงสุดรุ่นเก่าอย่างเฉินกูแล้ว ช่องว่างนี้ไม่ใช่น้อย ๆ !”
จางหยูยังไม่เคยเห็นเฉินกูลงมือมาก่อน แต่พลังที่เฉินกูแผ่ออกมานั้น
ทำให้จางหยูรู้สึกหวั่นเกรง เขาเข้าใจว่าหากเกิดการต่อสู้กันขึ้นมา
เขาคงไม่ใช่คู่มือของเฉินกู ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เฉินกูอาจจะไม่
สนับสนุนเขา
“แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คู่มือของเขา แต่หากเขาต้องการจะสังหารข้า มันก็
คงจะเป็นไปไม่ได้” จางหยูมั่นใจกับทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาเป็น
อย่างมาก เขาเจอกับเฉินกูมาหลายครั้ง เขาค่อย ๆ รู้ว่าท่าเคลื่อนย้าย
พริบตาของตนนั้น ดีกว่าของเฉินกูหรืออาจจะดีกว่าใครในโลกนี้ !
ท่าเคลื่อนย้ายพริบตาที่เฉินกูใช้ออกมานั้น อยู่แค่ในอาณาเขต หาก
ไปไกลกว่านี้ก็จะใช้ไม่ได้ผล
แต่ท่าเคลื่อนย้ายพริบตาของจางหยูนั้น แค่คิดเขาก็สามารถเคลื่อน
ย้ายได้ทันที !
หากท่าเคลื่อนย้ายพริบตาที่เฉินกูมีเป็นขั้นต่ำ งั้นของจางหยูคงเป็น
ขั้นสูงหรืออาจจะขั้นสมบูรณ์เลยก็ว่าได้ !
ยังไงซะ อันแรกก็อยู่ในระยะอาณาเขต แต่อีกอันอยู่ในระยะการรับรู้
หากลองคิดดูดี ๆ แล้วก็จะรู้ถึงความต่างระหว่างทั้งสองอัน
ในด้านการเคลื่อนย้าย ไม่มีใครทัดเทียมกับจางหยูได้ นี่ไม่ต้องนับ
แค่เฉินกูเลย แม้แต่ราชามังกรก็อาจจะเทียบเขาไม่ได้
“เฮ้อ….”
หลิงชี่นับไม่ถ้วนถูกจางหยูดูดซับไปในทันที จนทำให้อาณาเขตของ
เขาขาดหลิงชี่ไปชั่วขณะ แต่ไม่กี่อึดใจก็มีหลิงชี่ส่วนอื่น ๆ เข้ามาเติม
เต็ม
การดูดซับหลิงชี่เข้าไปนี้ ทำให้ระดับการบ่มเพาะของจางหยูเพิ่ม
ขึ้นมาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ เมื่ออาทิตย์ตกดินแสงเริ่มหม่นลง เขา
ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อรับรู้ได้ว่าร่างกายมีพลังงานมากกว่าเดิม จางหยูก็ยิ้มออกมาอย่าง
พอใจกับการที่รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ตลอด
โชคร้ายที่เขาทำแบบนี้ทั้งวันไม่ได้ เพราะเขาจำเป็นต้องไปสอนศิษย์
เนื่องจากหลินจื้อเป่ ยและคนอื่น ๆ เข้าร่วมสำนักแล้ว เขาก็ไม่จำเป็น
ต้องชี้แนะส่วนตัวกับไป่ หลิง, เซียวเหยียน, เหลยเจี้ยน, เติ้งชิวฉาน
และศิษย์ที่มีพรสวรรค์อื่น ๆ ด้วยตัวเอง ยกเว้นแค่ผังหลง เพราะ
พรสวรรค์พิเศษของผังหลงอย่างบังสวรรค์นั้น นอกจากจางหยูแล้วก็
ไม่มีใครที่จะสอนได้
“เดี๋ยวนะ คนอื่นไม่อาจจะสอนได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่า ร่าง
เทียมของข้าจะไม่อาจสอนได้นี่ !” จางหยูคิด
“ข้ารู้อะไร ร่างเทียมของข้าก็รู้ไปด้วย แต่ข้ากลับไม่ได้ใช้งานใน
ส่วนนี้เลย การสอนศิษย์ไม่ใช่การต่อสู้ แค่ทฤษฎีก็น่าจะเพียงพอ”
ดวงตาเขาเป็นประกายขึ้นมาทันทีด้วยความเสียดาย หากเขาคิดออก
ตั้งแต่แรก เขาคงสร้างร่างเทียมขึ้นมาตั้งนานแล้ว และให้ร่างเทียม
ไปสอนผังหลงแทนเขา แล้วเขาจะใช้เวลาที่เหลือในการบ่มเพาะ
ป่ านนี้ระดับบ่มเพาะของเขาคงสูงกว่านี้ไปแล้ว
“แต่มันยังไม่สายเกินไป” จางหยูสงบสติอารมณ์ และทำการสร้าง
ร่างเทียมขึ้นมาทันที ครั้งนี้เขาสร้างขึ้นมาสองร่าง นั่นก็คือเฒ่าเทียน
จีกับเจ้าสำนัก เฒ่าเทียนจีเป็นชายแก่ผมขาว ร่างเจ้าสำนักนั้นเหมือน
กับตัวจางหยูเอง ทั้งสองต่างก็เป็นร่างขั้น 1 ใช้พลังงานแค่ 1 หน่วย
ซึ่งสำหรับจางหยูแล้ว มันก็เท่ากับขนเส้นเดียวเท่านั้นไม่ได้ส่งผล
อะไร
“ร่างจริง” เฒ่าเทียนจีหันไปมองจางหยู
จางหยูพยักหน้าและยิ้มให้ “สวัสดี”
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปบ่มเพาะก่อน” จางหยูดึงหลิงชี่ในอาณาเขตให้ไป
หาเฒ่าเทียนจีและเจ้าสำนัก ทั้งสองคนต่างก็บ่มเพาะทักษะจี๋อู่ โดยมี
จางหยูคอยช่วยทำให้ระดับการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่า
จะเป็นร่างขั้น 1 แต่พรสวรรค์นั้นสูงส่งกว่าคนทั่วไป แม้แต่ตัวจางหยู
เองก็ไม่อาจจะเทียบได้
เมื่อพระอาทิตย์หายไปจากขอบฟ้า พื้นดินด้านล่างก็เริ่มมีแสงสว่าง
ขึ้นมา ตอนนั้นร่างเทียมทั้งสองได้ขึ้นมาถึงขอบเขตหลิงซวนขั้นต่ำ
แทบจะพร้อมกัน หลังจากที่บ่มเพาะมาถึงขอบเขตหลิงซวนขั้นต่ำ
ทั้งสองร่างก็หยุดทำการบ่มเพาะและลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองมาที่จาง
หยู
จางหยูพูดขึ้นมา “เฒ่าเทียนจีเจ้าไปหาที่บ่มเพาะต่อ มันจะดีหากขึ้น
ไปถึงขอบเขตตุ้นซวนได้เร็วที่สุด อย่าให้เซียนกระบี่พเนจรทิ้งห่าง
ไปไกลนัก” ระหว่างที่จางหยูบ่มเพาะ เซียนกระบี่พเนจรก็ไม่ได้อยู่
นิ่ง ระดับการบ่มเพาะของเขาก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมากจนตอนนี้ขึ้นไป
ถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นกลางแล้ว
เซียนกระบี่พเนจรคือร่างเทียมของจางหยู ไม่ว่าเซียนกระบี่พเนจรจะ
อยู่ที่ไหน ทุกอย่างก็ไม่อาจจะหลุดพ้นจากการรับรู้ของจางหยูได้
“ทักษะบังสวรรค์ยังแย่กว่าทักษะจี๋อู่ ข้ามั่นใจว่าข้าจะตามเขาทัน”
เฒ่าเทียนจียิ้มออกมา เสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
จางหยูพยักหน้าให้อย่างพอใจ ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่พเนจรหรือ
เฒ่าเทียนจี ทั้งสองคนต่างก็มีส่วนสำคัญในแผนของเขา มันต้องมี
ประโยชน์ในอนาคต ดังนั้นเซียนกระบี่พเนจรจึงต้องแยกตัวตนจาก
เฒ่าเทียนจี ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยจางหยูได้ดี
เท่านั้น
หลังจากที่จัดการเรื่องเฒ่าเทียนจีแล้ว จางหยูก็หันไปมองเจ้าสำนัก
เจ้าสำนักดูเหมือนกันกับเขา ถ้าเขาไม่พูดออกมา ก็คงไม่มีใครรู้ว่า
คนไหนคือร่างจริง คนไหนคือร่างเทียม เขาจะให้เจ้าสำนักมาแทนที่
และจัดการเรื่องราวในสำนักคังเฉียง ยังไงซะก็ไม่มีใครมองออก
แม้แต่คนที่รู้จักเขามากที่สุดก็ไม่อาจจะมองออกได้ว่า เจ้าสำนักผู้นี้
คือร่างเทียม
แน่นอนไม่ว่าจะเป็นร่างเทียมหรือร่างหลัก แต่มันก็ยังเป็นเขา ไม่
จำเป็นต้องปลอมตัวแต่อย่างใด
“เจ้าสำนัก…” จางหยูรู้สึกดีเมื่อมีคนเรียกเขาว่าเจ้าสำนัก แต่นี่เป็น
ครั้งแรกที่ถูกตัวเองเรียกว่าเจ้าสำนัก ทำให้จางหยูรู้สึกกระอักกระอ่วน
เขากระแอมออกมาและพูดขึ้น “อะแฮ่ม เจ้าคือเจ้าสำนักของสำนัก
คังเฉียง ก่อนที่เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าให้คนเห็น
จุดอ่อน”
เจ้าสำนักนี้ดูเหมือนเขา แต่ยังไงซะมันก็แค่ร่างเทียม ไม่อาจจะทำ
การเคลื่อนย้ายได้ และมีความแข็งแกร่งที่ต่ำอยู่ หากไปอยู่กับผู้คน
เยอะ คงเปิดเผยจุดอ่อนอย่างแน่นอน
เจ้าสำนักพยักหน้า “ร่างจริงสบายใจได้ ข้าจะระวังตัว”
เขาคือร่างเทียมของจางหยู เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้จักความสามารถใน
การแสดง ซึ่งความสามารถนี้ เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างจริงเลย แน่นอน
ตัวเขาเองก็ไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองเสแสร้งเป็นเซียน แต่เขารู้สึกว่า
เขากำลังพัฒนาโลกนี้ในฐานะเซียนจริง ๆ เขาให้ผู้คนเข้าใจความ
จริง สำหรับเรื่องการต่อสู้แล้ว เขาไม่อาจจะทำได้ เรื่องรุนแรงแบบ
นั้นไม่คุ้มค่าที่จะลงมือ
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ จางหยูก็ได้ให้ทั้งสองคนแยกตัวไป
ต่อมาเฒ่าเทียนจีก็ได้แยกกับร่างเจ้าสำนักที่แม่น้ำ ก่อนจะเดินทางไป
อีกทิศทาง เฒ่าเทียนจีเดินทางไปทางใต้ เจ้าสำนักกลับลงไปที่พื้น
แล้วหายไปจากสายตาของจางหยู
“เฮ้อ ” จางหยูรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น ราวกับว่าในที่สุดภาระทั้งหมดก็ถูก
ยกออกไป
จางหยูมองทวีปที่ไร้ขีดจำกัดนี้ แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “1 ปีแล้ว ตั้งแต่
ที่ข้ามายังโลกนี้ ข้ายังไม่เคยเดินทางในทวีปนี้เลย ตอนนี้ในที่สุดก็มี
โอกาสสักที ! ”
ครั้งที่แล้วเขาแค่เคลื่อนย้ายไปยังชายฝั่งทางใต้ ยกเว้นแค่หุบเขาเทพ
อสูรแล้ว เขาก็ไม่เคยหยุดเลย การเดินทางจริง ๆ คงเป็นเมื่อหลาย
เดือนก่อน ทว่าที่เหอตงและที่อื่นเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากมีเวลา
ที่น้อยเกินไปสำหรับการสำรวจโลกภายนอก
“จะไปที่เขตกลางหรือตะวันตกก่อนดีนะ? คำถามนี้คู่ควรให้คิด !”
จางหยูลังเลเล็กน้อย เพราะภาระที่อยู่ ๆ ก็หายไป ทำให้ตอนนี้เขา
รู้สึกไม่ชิน จางหยูคิดอยู่สักพัก เรื่องแบบนี้เป็นตัวเลือกที่ยากลำบาก
สำหรับเขาอยู่สักหน่อย
เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะติดสินใจในตอนนี้ ดังนั้นการบ่มเพาะจึง
ดูน่าสนใจกว่า
“เฮ้อ….”
ดวงดาวในท้องฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆขาว หลิงชี่หลั่งไหลเข้ามาราว
กับริบบิ้น เข้าล้อมรอบตัวจางหยูเอาไว้ แต่โชคร้ายที่ยิ่งขึ้นไปสูง
เท่าไหร่ เมฆก็ยิ่งหนาเท่านั้น แม้แต่พวกขอบเขตตุ้นซวนก็ไม่อาจจะ
ตรวจพบตัวตนของเขาได้
นี่คือเวลาผ่อนคลายที่สุด ตั้งแต่ที่จางหยูเคยเจอมา !
“มา เข้าไปให้ใกล้ขอบเขตตุ้นซวนขั้นกลางกัน!” เมื่อพระอาทิตย์
โผล่ขึ้นขอบฟ้าอย่างช้า ๆ จางหยูก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม หาก
ใครมองเข้าไปในดวงตาของเขาตอนนี้ จะรู้สึกว่าราวกับว่าโลกทั้ง
ใบสดใสขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก