ระบบเจ้าสำนัก นิยาย บท 372

ตอนที่ 372 ครึ่งเดือน
แม้ว่าพลังของค่ายกลนี้จะมีจำกัด แต่บทบาทของมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ
เลย อย่างน้อยคนทั่วไปก็ไม่อาจที่จะทลายการป้องกันของมันได้ หาก
ต้องการทำลายการป้องกันของภูเขาทั้งลูก อย่างน้อยต้องมีระดับการ
บ่มเพาะที่ขอบเขตตันซวน แต่เขตตงโจวนี้มีคนที่อยู่ขอบเขตตันซวน
มากแค่ไหนกัน? นี่ไม่ต้องพูดถึงเขตตงโจวเลย จำนวนผู้ที่อยู่ขอบเขต
ตันซวนทั่วทั้งอาณาจักรก็มีไม่เกิน 100 คน !
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ค่ายกลนี้ไม่ใช่แค่ป้องกันตัวเองได้ แต่ยังเป็นตัว
ส่งสัญญาณได้ด้วย !
ค่ายกลนี้มีความหมายบอกถึงอาณาเขตของสำนักคังเฉียง คนนอกไม่
อนุญาตให้เข้ามาที่นี่ได้ มันก็เหมือนกับชายแดน คนที่มีสมองก็พอจะ
รู้ได้ว่า ไม่อาจจะสร้างความวุ่นวายขึ้นมาที่นี่ได้ ถ้าหากฝ่าฝืนมันก็
เท่ากับเป็นการหาเรื่องสำนักคังเฉียง ใครกันที่จะรับผลลัพธ์ที่จะ
ตามมาได้ไหว?
จากนี้ภูเขาทั้งลูกได้แยกตัวออกจากโลกภายนอก และสำนักคังเฉียงก็
ได้หายไปจากสายตาของผู้คน จนกลายเป็นดินแดนศักด์ิสิทธ์ิที่แท้จริง
“ค่ายกลทำงานแล้วรึ?” ในสำนักคังเฉียง ร่างเจ้าสำนักรู้สึกได้ว่า
สภาพแวดล้อมนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะมอง
ไปยังด้านนอกภูเขา เขาได้บอกกับผังหลงให้กลับไปที่หอพักเพื่อบ่ม
เพาะด้วยตัวเอง ส่วนเขานั้นบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อมุ่งหน้าไปหา
เฟิงซวน
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ร่างเจ้าสำนักก็ได้มาปรากฏตัวตรงหน้าเฟิง
ซวน “ไม่เลวเลยนี่ ผู้ช่วยเฟิงซวนท่านทำได้ดี”
เฟิงซวนรีบทำความเคารพทันที “เจ้าสำนัก !”
“นี่คือการทดสอบรึ?” เจ้าสำนักถามด้วยความสงสัย
เฟิงซวนพยักหน้า “ข้าแค่ทดสอบค่ายกลป้องกัน มันสามารถกันการ
โจมตีของพวกที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตตันซวนได้ มันส่งผลดีหลายอย่าง
การรวบรวมหลิงซี่โดยรอบก็พัฒนาขึ้นมา แต่โชคร้ายที่ค่ายกลนั้น
สามารถต้านทานได้แค่พวกขอบเขตว่อซวนขั้นสูง ตราบใดที่มีระดับ
การบ่มเพาะที่สูงกว่านั้น พวกเขาก็สามารถมองข้ามภาพลวงตาและ
ขึ้นมายังยอดเขาแห่งนี้ได้”
เจ้าสำนักยิ้มออกมาอย่างพอใจ “ค่ายกลขั้น 4 มีพลังที่ร้ายกาจเช่นนี้
ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
หากต้องการกางค่ายกลให้ครอบคลุมภูเขาทั้งลูก และมีพลังที่แข็งแกร่ง
งั้นค่ายกลนั่นก็ต้องอยู่ขั้นที่ 6
เฟิงซวนเป็นแค่ปรมาจารย์วางค่ายกล 4 ดาว เขาสามารถใช้ค่ายกล
สูงสุดได้แค่ขั้น 4 ยังไงซะด้วยพลังของมันในตอนนี้ ก็ถือว่าดีแล้ว
การจะขอไปมากกว่านี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับเฟิงซวน
“พูดไปแล้วเพราะได้ความเชื่อใจจากเจ้าสำนักต่างหาก” เฟิงชวนพูด
ขึ้น ความสามารถของข้ามีจำกัด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะกางค่ายกลที่
เจ้าสำนักพอใจได้”
“ผู้ช่วยเฟิงซวนท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว ทุกวันนี้มีผู้มีพรสวรรค์
มากมายในสำนัก ท่านไม่กลัวการทำงานหนัก ท่านอาสากางค่ายกล
ให้กับสำนัก มันเป็นผลงานครั้งใหญ่ ไม่มีใครมองข้ามความดีความ
ชอบของท่านได้” เจ้าสำนักยิ้มออกมา “เอาล่ะ ผู้ช่วยเฟิงซวนทำงาน
หนักมานาน รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เจ้าสำนักข้าขอตัว !” เฟิงซวนไม่มัวลังเล
สำหรับเขาแล้วการกางค่ายกลไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ มันใช้พลังของเขาไป
อย่างมาก
หลังจากที่ส่งเฟิงซวนเสร็จ เจ้าสำนักก็ได้ทำการทดสอบค่ายกล หลัง
จากที่เข้าใจการทางานของค่ายกลแล้ว เขาก็ได้กลับไปยังบ้านพัก
ของตัวเอง
ทันทีที่กลับมา เจ้าสำนักก็เห็นว่าอู่ซินซินนั่งเล่นอยู่ในสวน เขาส่าย
หน้าออกมา “เจ้าหนูน้อยสองตัวนี้ ไม่คิดกังวลอะไรเลย!” อ้าวเสี่ยว
หร่านไม่ได้ฉลาดนัก นางไม่ต่างจากเด็กน้อยทั่วไป นางแค่เล่นสนุก
ก็พอใจแล้ว แต่อู่ซินซินไม่ใช่เด็กแล้ว หากเทียบกับหลินหมิงแล้ว
นางอ่อนกว่าแค่ปีเดียว แต่นิสัยของนางยังคงเหมือนเด็กเล็ก นางไม่
ค่อยได้ใช้เวลากับการบ่มเพาะมากนัก
“หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานหลินหมิงคงตามนางทัน” เจ้าสำนัก
ถอนหายใจออกมา
พรสวรรค์ของอู่ซินซิน หากดูทั้งชั้นเรียนแล้วนางก็อยู่อันดับต้น ๆ
แม้ว่านางจะไม่ใช่อัจฉริยะที่โดดเด่น แต่ก็ใช่ว่าจะแย่ แต่ถึงอย่างนั้น
นางก็ไม่รู้ค่าของพรสวรรค์ที่ตนมี นางเหมือนจะไม่สนใจ บางทีนาง
อาจจะตระหนักถึงความสำคัญของมันได้ ก็ตอนที่นางมีประสบการณ์
แบบเดียวกับเซียวเหยียนและหนิวซิงไห่
จางหยูและเจ้าสำนักในตอนนี้อยากจะดุนางอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้ง
พวกเขาก็ไม่อาจจะพูดมันออกมาได้
อู่ซินซินเป็นศิษย์รุ่นแรก ๆ ของสำนักคังเฉียง นางเป็นจุดเริ่มต้นความ
สำเร็จของจางหยู ในใจจางหยูแล้วนางมีฐานะที่สูงส่งกว่าศิษย์คนอื่น ๆ
แม้ว่าจางหยูจะไม่เคยพูดมันออกมา และไม่ได้สนใจอู่ซินซินเป็นพิเศษ
แต่จางหยูก็เป็นห่วงนางมากกว่าคนอื่น ๆ และไม่อาจจะดุนางได้
“ช่างเถอะเมื่อนางชอบเล่น ก็ให้นางเล่นไป เรื่องสำคัญคือการบ่มเพาะ
อ้าวเสี่ยวหร่าน” เจ้าสำนักตะโกนออกมาในใจ “ข้าจะช่วยหาทาง
พัฒนาระดับการบ่มเพาะของนางในอนาคต”
อ้าวเสี่ยวหร่านกับอู่ซินซินเล่นกันอยู่ด้านนอก ตอนนี้ผังหลงก็กลับไป
ที่หอพักแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาไม่อาจจะปล่อยเวลาที่มีค่าให้เสียเปล่า
ได้ ภายในสวนแห่งนั้น ร่างของเขาได้มุ่งหน้าไปที่ป่ าด้านหลัง แค่
ไม่กี่อึดใจเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในป่ าทึบ
มันคือที่ที่จางหยุใช้บ่มเพาะ ตอนที่ระดับการบ่มเพาะของจางหยูสูง
ขึ้นเรื่อย ๆ ที่นี่ก็ไม่เหมาะจะเป็นที่บ่มเพาะสำหรับจางหยูอีกต่อไป
ตอนนี้มันคือที่ของเจ้าสำนัก
ปัง!
ทันทีที่เจ้าสำนักไปถึงที่นั่น ปราณก็ถูกดูดเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อม
กับระดับการบ่มเพาะของเจ้าสำนักที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ขอบเขตหลิงซวนขั้นสูง!
บ่มเพาะมาได้ครึ่งเดือน แม้ว่าต้องไปสอนถังหลง, จัดการเรื่องราว
ต่าง ๆ ของสำนัก แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาก็เพิ่มขึ้นมาถึงขอบเขต
หลิงซวนขั้นสูงได้ หากครั้งนี้ไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น เขาคงทะลวง
ผ่านขึ้นไปยังขอบเขตหลี่ซวนได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระดับการบ่มเพาะของเจ้าสำนักเพิ่มสูงขึ้น
เรื่อย ๆ โดยบางครั้งจะมีแรงกดดันที่น่ากลัวแผ่ออกมาจากตัวเขา วัง
วนในร่างกายตอนนี้ราวกับได้รับอิสระจากกรอบที่จำกัดมันไว้
วังวนค่อย ๆ หมุนวนออกจากตันเถียน ทลายขีดจำกัดของมัน นี่คือ
สัญญาณเข้าถึงขอบเขตหลี่ซวน
สำหรับคนอื่น ๆ มีแค่การทำความเข้าใจกฎและเชื่อมต่อกับโลก ที่
จะทำให้วังวนขับเคลื่อนออกจากตัว และควบคุมวังวนในโลกได้ ไม่
งั้นแล้วเมื่อวังวนถูกดึงออกมา มันก็จะหายไปทันที พร้อมกับฐาน
การบ่มเพาะที่หายไป
แต่เจ้าสำนักนั้นต่างออกไป เขาบ่มเพาะทักษะจี๋อู่แบบสมบูรณ์สำหรับ
กฎแล้ว เขาควบคุมมันได้ตามสัญชาตญาณ เขาแค่ต้องใช้พลังของ
วังวน เมื่อขับเคลื่อนวังวนออกมา เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่วังวนนั้น
จะสลายตัว
อยู่ ๆ เจ้าสำนักก็ลืมตาขึ้นมาด้วยตาที่เป็นประกาย
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา “ทะลวง
ผ่านแล้วรึ?”
ชัดแล้วว่านี่ไม่ใช่การทะลวงผ่านของร่างเจ้าสำนัก ระดับการบ่มเพาะ
ของเขายังอยู่ที่ขอบเขตหลิงซวนขั้นสูง แม้เขาจะมั่นใจว่าสามารถ
ทะลวงผ่านขึ้นไปยังขอบเขตหลี่ชวนได้ในวันนี้ แต่เขาก็ยังต้องใช้
เวลามากกว่านี้เพื่อทำการทะลวงผ่าน อย่างน้อยเขาอาจจะต้องบ่ม
เพาะจนถึงตอนเย็น
งั้นใครกันที่ทะลวงผ่านไปได้?
“ไม่คิดเลยว่าแค่ครึ่งเดือน ระดับการบ่มเพาะของร่างหลักกลับทะลวง
ผ่านไปได้อีก” เจ้าสำนักตะลึงและพูดขึ้นมา “แต่เวลาครึ่งเดือนและ
ความขยันของร่างหลัก บวกกับความเร็วในการบ่มเพาะ การทะลวง
ผ่านไปได้นี้ก็พอมีเหตุผล”
เจ้าสำนักจะพูดถึงใครได้ หากไม่ใช่จางหยู?
ไม่มีใครรู้ว่าจางหยูที่อยู่ในสำนักคังเฉียงคือร่างเทียม แต่จางหยูตัวจริง
นั้นทำการบ่มเพาะอยู่เงียบ ๆ กว่าครึ่งเดือน ราวกับถูกโลกนี้ลืมเลือน
ไป เขาทำการบ่มเพาะโดยไม่หยุดพัก ทำให้ระดับการบ่มเพาะของ
เขาก้าวขึ้นมาถึงขอบเขตตุ้นซวนขั้นกลางได้
สูงขึ้นไปกว่าหมื่นลี้
จางหยูหัวเราะออกมาอย่างพอใจ ตั้งแต่ที่เขามายังทวีปป่ านี่เป็นครั้ง
แรกที่เขาบ่มเพาะนานถึงครึ่งเดือนโดยไม่กินและไม่นอน ในหัวของ
เขามีแต่เรื่องบ่มเพาะ ซึ่งพูดไปแล้วก็มีแต่ความน่าเบื่อ ตอนนี้ระดับ
การบ่มเพาะของเขาได้พัฒนาขึ้นมาอีกครั้ง ความพยายามในทุกวันที่
ผ่านมาได้ตอบแทนเขาแล้ว
“ขอบเขตตุ้นซวนขั้นกลาง…” การรับรู้ของจางหยูกวาดผ่านออกไป
ยังวังวนในตันเถียน เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังอันน่ากลัวของวังวน รอยยิ้ม
บนใบหน้าของเขาก็กว้างขึ้น “ตอนนี้ข้าไม่ได้อ่อนแอแล้ว เฉินกูรึ?
แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับข้าในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าข้าจะแพ้!”
มีแค่ขึ้นมาถึงขอบเขตนี้ได้ ถึงจะเข้าใจว่ามันแข็งแกร่งขนาดไหน
พลังของโลกนี้แม้แต่ตัวจางหยูเองก็ต้องทึ่งตามไปด้วย
จางหยูไม่คิดสงสัยเลยว่า พวกขอบเขตตันซวนทั่วไป คงไม่อาจจะ
เป็นคู่มือของเขาได้
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือ ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ จางหยูกลับบ่ม
เพาะไม่ถึงปี หากคำนวณเวลาแล้ว มันก็แค่ 10 เดือนเท่านั้น
ไม่ถึง 1 ปี กลับมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับราชาสัตว์อสูรได้ ความ
เร็วในการบ่มเพาะนี่ช่างน่ากล้วจริง ๆ !
แน่นอนมีผู้แข็งแกร่งมากมายในทวีปป่ า หากมองในแง่ดี ราชาสัตว์
อสูรก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลย ส่วนราชามังกรลึกลับนั่นที่พวก
ระดับสูงสุดคนอื่น ๆ หวาดกลัว จางหยู่ไม่รู้แน่ชัด แต่มีหนึ่งสิ่งที่
แน่นอน เวลาไม่ถึงปีแต่กลับแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หากมองทั้งทวีป
ป่าแล้ว มันไม่มีใครเหนือกว่าเขาไปได้
อย่างน้อยก็ตอนนี้ จางหยูไม่อาจจะเอาใครมาเทียบได้
“ไม่แปลกเลยว่าทำไม พวกระดับสูงสุดของมนุษย์ ถึงไม่กล้าหาเรื่อง
เฉินกู และไม่อยากปล่อยให้เผ่าสัตว์อสูรเติบโตไปมากกว่านี้” จางหยู
พอจะเข้าใจพวกระดับสูงสุดของมนุษย์ทั้งสี่คน พวกนั้นไม่อยากจะ
ถูกเฉินกูฆ่า ราคาของการหาเรื่องเฉินกูนั้นสูงเกินไป ด้วยความแข็ง
แกร่งของทั้งสี่คนแล้ว หากสู้กับเฉินกูแม้ว่าจะฆ่าเฉินกูได้แต่ต้องมี
อย่างน้อยหนึ่งหรือสองคนที่ต้องตาย หากรอดไปได้ก็ต้องบาดเจ็บ
หนัก พวกเขาบ่มเพาะมาถึงระดับนี้ได้ พวกเขาจะเต็มใจรับผลลัพธ์
แบบนั้นได้ยังไง?
ความเสี่ยงมันสูงเกินไป!
สำหรับความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร มัน
ไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาด ที่จะมาสู้กับราชาสัตว์อสูรเฉินกู !
นอกซะจากว่าเหล่าสัตว์อสูรจะแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยถึงฐานะ
และชีวิตของพวกเขา หาไม่แล้ว พวกเขาจะไม่ยุ่งกับเฉินกู แม้ว่า
อาณาเขตของมนุษย์จะถูกยึดไป แม้ว่าการเป็นอยู่ของมนุษย์จะแย่ลง
ไปบ้าง แต่พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะเผชิญหน้ากับเฉินกู
จางหยูยอมรับว่าเฉินกูนั้น ฉลาดที่จะเก็บตัวอยู่ในป่ าหวงหยวน เขา
ไม่เคยเข้าไปในเขตกลางเพื่อทำให้พวกระดับสูงสุดของมนุษย์ทั้งสี่
คนรู้สึกถึงภัย และร่วมมือกันเพื่อฆ่าเขา จนถึงตอนนี้ทั้งสองฝั่งก็ยัง
ไม่ได้ทำอะไรกัน ซึ่งนั่นเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับหมู่สัตว์อสูร
“ยินดีด้วยร่างหลัก” ตอนนั้นการเชื่อมต่อทางวิญญาณของจางหยู ก็มี
เสียงดังขึ้นมา
จางหยูยิ้มออกมา แม้ว่าเจ้าสำนักจะเป็นแค่ร่างเทียม แต่ยังไงซะเขาก็
มีความคิดของตัวเอง เขาคือตัวตนตัวตนหนึ่ง เขาดีใจกับการทะเลวง
ผ่านของจางหยูได้ และแค่มายินดี
จางหยูตรวจสอบสถานการณ์ของร่างเจ้าสำนัก และยิ้มออกมาก่อน
จะตอบกลับ “ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็จะทะลวงผ่านขึ้นไปขอบเขตหลี่
ซวนได้เหมือนกัน ข้าควรจะยินดีกับเจ้าเช่นกัน!”
แค่ครึ่งเดือน ทั้งจางหยูและเจ้าสำนักต่างก็พัฒนาระดับการบ่มเพาะ
ของตนด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
“เจ้าคอยจัดการกับสำนักคังเฉียงต่อ ข้าจะไปที่เขตกลางเพื่อดูว่า ข้า
จะหลอกพวกขอบเขตตุ้นซวนได้อีกหรือไม่” จางหูส่งข้อความ
กลับไป เขาอยากที่จะทำภารกิจของตัวเองให้เสร็จ
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ รวมกับความสามารถในการ
ควบคุมทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาที่สมบูรณ์ พวกระดับสูงสุดทั้งสี่
ของมนุษย์ อาจจะไม่ได้เป็นภัยต่อเขาอีกต่อไป
แต่จางหยูยังไม่ทันได้ลงมือ เสียงของเจ้าสำนักก็ดังขึ้นมาในหัว
“ร่างหลักคงลืมไปแล้ว พรุ่งนี้คือวันที่ต้องเปิดสอนครั้งที่สามหากเจ้า
ไปใครกันที่จะทำหน้าที่แทน?” เจ้าสำนักพูดขึ้น “ข้าจัดการเรื่องอื่น
ให้เจ้าได้ แต่หากเป็นเรื่องการเปิดสอน ไม่มีทางเลยที่ข้าจะทำได้
ยังไงซะทักษะหลอกลวงก็มีแค่เจ้าที่ใช้มันได้…”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบเจ้าสำนัก