หลังอันหลินเหาะเหินกลางอากาศอย่างสบายอารมณ์อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เหนื่อยล้า
การขี่กระบี่ของเขายังอยู่ในระดับพื้นฐาน
ทว่าทักษะการขี่ก้อนอิฐนั้น เขาอยู่ในระดับที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว!
ราชาอันหลินหวนกลับมา สมาชิกทุกคนต่างก็ต้อนรับด้วยสายตา
พวกเขาแสดงความนับถืออย่างสูงสุดต่ออันหลิน ผู้ซึ่งสนุกสนานกับการขี่ก้อนอิฐที่อัปลักษณ์ขนาดนี้
อันหลินสะบัดผม ถามยิ้มๆ ว่า “ไข่นกสุกแล้วหรือยัง”
เจ้าอัปลักษณ์พยักหน้า “สุกแล้ว เรากินฟองหนึ่งกันก่อนดีไหม ใครไม่อิ่มค่อยกินอีกสองฟองที่เหลือ”
ไข่แต่ละฟองมีขนาดเท่าแตงโม สำหรับปริมาณอาหารต่อคน ถือว่าเพียงพอแล้ว
แต่หากว่าชอบกินมากเป็นพิเศษ ถึงตอนนั้นค่อยแบ่งก็สิ้นเรื่อง
อันหลินหยิบไข่นกฟองหนึ่งขึ้นมา เปลือกผ่านการย่างมายังคงร้อนระอุ
เขาแกะเปลือกด้านบนออกเบาๆ เผยให้เห็นไข่ขาวนวลแวววาว
เนื้อไข่สีจางส่งกลิ่นหอมโชยแตะจมูก ทำให้ความอยากอาหารของเขาเพิ่มพูน
เขากัดไข่ขาวไปคำหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว กลิ่นหอมของไข่วนเวียนตรงปลายลิ้น นุ่มละมุนอร่อยเป็นที่สุด!
“อ๊าก…อร่อย!”
อันหลินอดเอ่ยปากชมไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินไม่หยุด
ไม่นานเขาก็ได้กินไข่แดง
ไข่แดงสีเหลืองทองส่งกลิ่นหอมกรุ่น
เขาทนไม่ไหวแล้ว เมื่อกัดลงไป ไข่แดงกลับมีกลิ่นหอมของเนื้อย่าง รสชาติแผ่ซ่านไปทั่วลิ้นในเสี้ยววินาที
กลิ่นหอมจากการย่างและกลิ่นหอมของไข่ผสมผสานกัน แผ่ซ่านแต่กลับไม่เลี่ยน สร้างความสุขสมอย่างสูงสุดให้กับความอร่อย!
อร่อย…เหลือเกิน!
ห้าคนกับสัตว์หนึ่งตัวกินอย่างตะกละตะกลาม ไม่นานก็กินไข่ปิ้งตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง
จากนั้น สายตาของทุกคนก็จับต้องไปที่ไข่ปิ้งอีกสองฟองที่เหลือ
แววตาของแต่คนเร่าร้อน
ใช่แล้ว พวกเขายังกินไม่พอ!
ทุกคนสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
พวกเขารู้ว่าถึงเวลาตัดสินแล้ว!
“ข้าตัวเล็กที่สุด ขาดสารอาหาร อยู่ในวัยเจริญเติบโต ฉะนั้นพวกเจ้าให้ไข่กับข้าฟองหนึ่งดีไหม” เหมียวเถียนจ้องทุกคนด้วยดวงตาที่รื้นน้ำตา พูดด้วยท่าทางน่าสงสาร
จงหย่งเหยียนแสยะยิ้ม โบกพัดพลางโต้แย้งว่า “สหายเหมียว เจ้าเจริญวัยแล้ว ต่อให้กินอย่างไรก็ไม่โต ว่ากันตามเหตุผล เรามาเล่นต่อสำนวนกันดีไหม ใครชนะคนนั้นได้กิน”
ลั่วจื่อผิงที่ไม่มีความรู้คัดค้านคนแรกทันที “ต่อสำนวนบ้าบออะไร ควรจะแบ่งอาหารตามความต้องการ ข้าตัวใหญ่ขนาดนี้ กินไข่เล็กๆ ฟองเดียวจะไปอิ่มได้อย่างไร ฉะนั้นข้าต้องกินอีกฟอง!”
ซุนเซิ่งเหลียนเบะปากเล็กน้อย พูดอย่างเฉยชาว่า “หน้าอกข้าใหญ่ พวกเจ้าควรจะฟังข้า! ข้าควรจะมีสิทธิ์ในไข่ฟองหนึ่ง!”
เหมียวเถียน “…”
จงหย่งเหยียน “…”
ลั่วจื่อผิง “…”
จากนั้นทั้งสี่คนก็โต้แย้งด้วยเหตุผลของตัวเองอย่างไม่ลดละ
แต่ผ่านไปพักใหญ่ พวกเขาก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเบนสายตาไปที่อันหลิน
เหมียวเถียน “เจ้าเป็นหัวหน้า ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลย เจ้ามีคำแนะนำในการแบ่งอย่างยุติธรรมไหม”
อันหลินได้ฟังก็ยกยิ้ม เช็ดน้ำลายที่ไหลออกมา
เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดว่า สิทธิ์ในไข่สองฟองนี้ ตัดสินด้วยการประลองยุทธ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”
เจ้าอัปลักษณ์ชูมือขึ้นทันที “ข้าเห็นด้วย!”
จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งวานรก็มองหน้ากันยิ้มๆ
เหมียวเถียนและพวกลั่วจื่อผิงเบิกตากว้าง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างยิ่งเริ่มผุดขึ้นมา
รอบกองไฟ สมาชิกสี่คนนอนแอ้งแม้งใบหน้าบวมปูดอยู่บนพื้น
เหมียวเถียนน้ำตาคลอ สูดน้ำมูก “ข้าไม่เคยพบเจอคนที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลย”
จงหย่งเหยียนตีหน้ายักษ์ “ให้ตายสิ ป่าเถื่อนจริงๆ ทั้งๆ ที่แก้ไขด้วยปากได้ ไยต้องใช้กำลัง!”
ซุนเซิ่งเหลียนมองอันหลินด้วยสีหน้าราวกับจะบ่งบอกว่าเห็นธาตุแท้แล้ว “ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีหัวหน้าแบบนี้…”
ลั่วจื่อผิงกุมกล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อย แสดงสีหน้าจะมุมานะบากบั่นเพื่อความก้าวหน้า “ข้าจะทะลวงขั้นสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณให้เร็วที่สุด เพื่อจะชำระแค้นไข่ฟองนี้!”
เมื่อเทียบกับความเคียดแค้นของทั้งสี่คน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม