‘กายแห่งมรรคขั้นแปด บรรลุเงื่อนไข เอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังยุทธ์กายแห่งมรรคขั้นแปดขึ้นไปหนึ่งคนซึ่งหน้า’
ท้าทายข้ามระดับเหรอ
อันหลินตะลึงเล็กน้อย วิธีทลายขีดจำกัดแบบนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
แต่…ดูจากเงื่อนไขแล้วใช่ว่าจะทำไม่ได้
ดูแล้วก็ดีกว่าให้เขากินหินวิญญาณหนึ่งร้อยล้านก้อนอยู่ดี…
วันต่อมา ระหว่างทางไปห้องเรียน อันหลินยังคงกลัดกลุ้มกับเรื่องการทลายพันธนาการของตัวเอง
“เป็นอะไรไป ไม่พูดไม่จามาตลอดทางเลย”
ในสายตาของสวีเสี่ยวหลาน อันหลินเป็นตัวละครที่ไม่ได้บ่นอาจถึงตายได้เสมอมา คราวนี้กลับกลายเป็นชายรูปงามผู้เงียบขรึม ทำให้นางอดถามด้วยความฉงนไม่ได้
“เจ้าว่า คนที่อยู่ในระดับกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดเอาชนะกายแห่งมรรคขั้นแปด ยากมากหรือเปล่า”
อันหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากถาม
“ไม่ยากนี่นา ข้าเอาชนะลูกพี่ลูกน้องกายแห่งมรรคขั้นแปดของตระกูล ตั้งแต่ตอนที่ข้าอยู่ในระดับกายแห่งมรรคขั้นหกแล้ว” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างไม่ยี่หระ
“สุดยอดไปเลย ทำได้อย่างไร!” อันหลินพูดด้วยความตกใจ
สวีเสี่ยวหลานกระหยิ่มยิ้มย่อง “เอาชนะด้วยพรสวรรค์ พลังปราณในร่างกาย การรู้ซึ้งในวรยุทธ์ที่สืบสายโดยตรง ง่ายๆ แค่นี้เอง!”
อันหลินระอาใจ “มันเรียกว่าง่ายได้ที่ไหนกัน แล้วคนที่ไม่มีพรสวรรค์ วรยุทธ์ก็ไม่ได้เรื่อง พลังปราณในร่างกายแสนธรรมดาล่ะ จะเอาชนะกายแห่งมรรคขั้นแปดได้ไหม” อันหลินถามอย่างไม่ยอมแพ้
สวีเสี่ยวหลานขำพรืด “เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้ขั้นแปดคนนั้นจะปัญญาอ่อน!”
“แทงใจดำแล้ว พี่สาว…” อันหลินโอดครวญ
“นี่ เกี่ยวอะไรกับเจ้าน่ะ ทำไมพอได้ฟังข้าพูด เจ้าถึงได้หมดอาลัยตายอย่างนี้ล่ะ”
สวีเสี่ยวหลานเห็นอารมณ์ของอันหลินแปรปรวนราวกับงิ้วเปลี่ยนหน้า ก็สะดุ้งโหยงอย่างอดไม่ได้
อันหลินถอนหายใจ “บอกเจ้าตามตรงก็แล้วกัน ข้าบรรลุระดับกายแห่งมรรคขั้นเจ็ดแล้ว ตอนนี้เพราะเหตุผลจำเป็นบางอย่าง ข้าอยากเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าข้า”
เมื่อได้ฟังคำพูดของอันหลิน ดวงตาสุกใสของสวีเสี่ยวหลานก็เบิกกว้าง ราวกับได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
“นี่ โกหกไม่ดีนะ ข้าไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังบนตัวเจ้าเลย”
สวีเสี่ยวหลานได้สติ พบปัญหาทันที
ได้ยินดังนั้น อันหลินก็ปล่อยพลังงานในตัวออกมา พลังของร่างกายก็เริ่มไต่ระดับอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็บรรลุจุดสูงสุด
เมื่อเห็นฉากนี้ สวีเสี่ยวหลานก็ปิดปาก ปิดบังความตกตะลึงบนใบหน้าไม่มิดอีกต่อไป พูดอู้อี้ว่า “โอ้สวรรค์ กายแห่งมรรคขั้นเจ็ดจริงๆ ด้วย! จากกายแห่งมรรคขั้นศูนย์ถึงขั้นเจ็ด เวลาไม่ถึงสี่เดือนด้วยซ้ำ เจ้าทำได้อย่างไร!”
สวีเสี่ยวหลานออกอาการตื่นเต้น ราวกับพบเจอเรื่องบางอย่างที่ทำให้นางไม่อาจเข้าใจได้
“หากข้าบอกว่า ข้าทำสำเร็จเพราะวิดพื้นกับกินหินวิญญาณ เจ้าเชื่อหรือเปล่า” อันหลินพูด
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ” สวีเสี่ยวหลานกลอกตาใส่เขา จากนั้นก็ตวาดว่า “บอกมาตามตรง!”
อันหลินยิ้มกริ่ม สะบัดเส้นผมสลวย “บอกความจริงกับเจ้าก็ได้ นั่นเป็นเพราะข้ามีปัญญาน่าตะลึง พรสวรรค์สูงส่ง เป็นอัจฉริยะที่หมื่นปีจะพบสักคน”
หลังอันหลินคุยโวโอ้อวดแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะถูกสวีเสี่ยวหลานเยาะเย้ย
ไม่คิดว่านางกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ต้องอย่างนี้สิ ข้าว่าแล้วเชียวคนไม่เอาไหนจะมีจดหมายรับรองของผู้เที่ยงแท้ได้อย่างไร ต้องมีความสามารถแน่นอน”
“นี่! พูดว่าไม่เอาไหนต่อหน้าข้า ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของข้าหน่อยหรือ” อันหลินถูกทำร้ายจิตใจครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะนิสัยปากไม่มีหูรูดของสวีเสี่ยวหลาน
“ความหมายของคำพูดข้าเมื่อครู่นี้ ก็ปฏิเสธไปแล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนไม่เอาไหน”
สวีเสี่ยวหลานยิ้มหวานให้อันหลิน จนดวงตาเป็นเสี้ยวพระจันทร์ แลดูน่ารักเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นรอยยิ้มงดงามปานบุปผาของสวีเสี่ยวหลานแล้ว อารมณ์โมโหของอันหลินก็หายวับไปทันที
เขาเองก็รู้สึกจนใจกับสิ่งนี้เช่นกัน ทำได้แค่รำพันว่ารอยยิ้มของผู้หญิง เป็นป้ายทองเว้นตายชัดๆ
เอ๊ะ จริงสิ! คนกันเองคุยกันได้…
เราขอให้เธอช่วยเหลือ ให้เธอเป็นคู่ต่อสู้ของเราได้นี่นา!
จู่ๆ อันหลินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เจอทางออกของภารกิจนี้แล้ว
“เสี่ยวหลาน ช่วยอะไรข้าอย่างได้ไหม” นัยน์ตาของอันหลินเป็นประกายแวววับ พูดพร้อมกับทำหน้าอ้อนวอน
“ช่วยอะไร”
สวีเสี่ยวหลานเห็นใบหน้าของอันหลิน ก็อดพูดด้วยความระแวงไม่ได้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม