“เอ่อ…นี่เจ้าจะรับหรือไม่รับหินปราณกันแน่” อันหลินเกาหัว จ้องเหล่าจงที่ยืนอึ้งอยู่ตรงหน้า จากนั้นชี้วัตถุบรรพกาลบนแท่นหินแล้วพูดว่า “เร็วเข้าสิ พวกมันรอไม่ไหวแล้ว ต้องการยิ่งนัก…”
พวกมันต้องการงั้นหรือ เจ้าน่าจะอยากได้มากกว่า!
เหล่าจงอึดอัดใจ คิดว่าเส้นเลือดหัวใจจะอุดตันแล้ว
เขารีบใช้สายตาขอความช่วยเหลือมองประมุขหอที่เพิ่งวิ่งมาเมื่อครู่เป็นพัลวัน
“ประมุขหลัว ชายที่ชื่ออันหลินคนนั้น มีวิธีขัดเกลาวัตถุบรรพกาลที่เป็นเอกลักษณ์นัก ได้ไปสามชิ้นแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าวัตถุโบราณทั้งหมดต้องถูกเขาเอาไปหมดแน่!” หลิวหั่วก็รีบส่งกระแสจิตเช่นกันเมื่อเห็นประมุขหลัว
ประมุขหลัวหัวใจปวดหนึบเมื่อได้ฟัง ปกติแล้วหลายสิบปีก็อาจจะไม่เจอวัตถุบรรพกาลสักชิ้น ตอนนี้ถูกเขาเอาไปสามชิ้นแล้วงั้นหรือ ไม่ได้การ จำต้องหยุดยั้งเขา!
“ฮ่าๆ ๆ…ข้าน้อยเป็นประมุขแห่งหอดิ้นทอง มีนามว่าหลัวป่ายอวี้ ขอแสดงความยินดีกับสหายอันหลินที่ได้รับวัตถุบรรพกาล” ประมุขหลัวเดินยิ้มแย้มเข้าไป ยกมือขึ้นคำนับแสดงความยินดีอย่างสุภาพอ่อนน้อม
เมื่ออันหลินได้ยินว่านายใหญ่ของร้านนี้มา ก็รีบคำนับตอบอย่างพินอบพิเทาทันที
ประมุขหลัวก็ไม่อ้อมค้อม พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อสหายอันหลินได้วัตถุบรรพกาลไปหลายชิ้นแล้ว หยุดแต่เพียงเท่านี้ดีไหม”
“พูดอย่างไม่ปิดบัง กิจกรรมเลือกวัตถุบรรพกาลเป็นเอกลักษณ์ของหอดิ้นทอง ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในรายได้หลักของหอดิ้นทองอีกด้วย สหายอันหลินมีวาสนากับของเหล่านี้ ย่อมเป็นเรื่องดี แต่พวกเราหอดิ้นทองเพียรพยายามมาหลายพันปี พาพวกมันมาถึงที่นี่ได้ นี่ก็เป็นวาสนาที่ไม่ง่ายเลย จุดหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราไม่อยากให้มีคนมาตัดช่องทางการหาเงินเช่นนี้…”
อันหลินกะพริบตาปริบๆ เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดจาเถรตรงปานนี้ ยอมรับแล้วว่าหน้าด้านไร้ยางอาย จะให้เขาพูดอะไรต่ออีก
“ก่อนหน้าที่พวกท่านบอกว่าผู้ที่มีวาสนาจะได้วัตถุบรรพกาลไปครอง มากลับคำตอนนี้ พวกท่านเห็นมันเป็นตัวเรียกเงิน ไม่กลัวข้าจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหรือ” อันหลินคิดๆ ดูแล้ว คิดว่าขอเถียงสักหน่อย
“เราตั้งกฎใหม่ได้ หนึ่งคนนำวัตถุบรรพกาลไปได้มากสุดคนละสามชิ้น ข้าเชื่อว่านอกจากอัจฉริยะเช่นสหายอันหลินที่บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่แล้ว คนอื่นขัดเกลาได้หนึ่งชิ้น ก็นับว่าเป็นเรื่องที่คุยโวไปได้ร้อยปีแล้ว ย่อมไม่แยแสข้อจำกัดนี้”
น้ำเสียงของประมุขหลัวยังคงอ่อนโยนและเรียบเฉย “ข้าเชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ แม้เรื่องจะแพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของหอดิ้นทองได้รับผลกระทบ แต่คนอื่นก็จะเข้าใจได้…แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแผนการที่แย่ที่สุด ข้าหวังว่าสหายอันหลินกับเราจะจัดการได้อย่างสันติ เช่นนี้ล้วนสุขใจทั้งสองฝ่าย”
อันหลินมองชายวัยกลางคนที่สง่างามตรงหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “จะจัดการอย่างสันติอย่างไร”
“หนึ่งล้านหินวิญญาณ ทุกคนปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป หอดิ้นทองให้ได้เพียงเท่านี้ สหายอันหลินอย่าต่อรองเลย” ประมุขหลัวพูดยิ้มๆ
“ได้ ตกลง!”
“สหายอันหลินช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมานัก ต่อไปท่านก็คือพันธมิตรของหอดิ้นทองแล้ว”
…
ด้วยเหตุนี้ อันหลินจึงมีรายได้เพิ่มมาอีกหนึ่งล้านหินวิญญาณ เดินจากไปกับสวีเสี่ยวหลานอย่างสง่าผ่าเผย
เฮยมู่ หลิวหั่วและหวงสือ มองแผ่นหลังที่เป็นเหมือนผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตเงียบๆ ด้วยสภาพจิตใจที่ย่ำแย่
ประมุขหลัวนวดขมับอย่างเจ็บปวด เขาต้องการสงบสติอารมณ์สักหน่อย จะได้ลืมผู้ชายที่ชื่ออันหลิน
องค์หญิงเหยียนเมิ่งถูกตบหน้าดังกังวานไปหลายฉาด ถูกย่ำยีอย่างรุนแรง หมดซึ่งอารมณ์จะเลือกสรรวัตถุบรรพกาล จึงจากแท่นหินไป
มีเพียงชายวัยกลางคนที่แต่งตัวหรูหราคนนั้นที่ยังยืนหยัด ทั้งหยดเลือดใส่และร้องเพลงใส่วัตถุบรรพกาล ทำทุกวิถีทาง
แน่นอนว่า ผลสุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย…
อันหลินออกจากหอดิ้นทองแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บ่นอุบว่า
“เสียดายนิดหน่อยที่เอาวัตถุบรรพกาลไปทั้งหมดไม่ได้…”
สวีเสี่ยวหลานกลอกตา “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ข้าปวดใจแทนหอดิ้นทองแล้วเนี่ย ตอนแรกคนเขาตั้งใจจะเชือดเจ้า แต่เจ้ากลับเอาของรักของเขาไปถึงสามชิ้น แถมยังได้เพิ่มอีกตั้งหนึ่งล้านหินวิญญาณ”
“ของรักสามชิ้นทำได้ดี ข้าชอบ โฮ่ง!” ต้าไป๋พูดแทรกพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
สวีเสี่ยวหลาน “…”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม