เมื่อสวีเสี่ยวหลานได้รับมรดกกระบี่ของตำหนักแห่งสารทแล้ว กลิ่นอายก็ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
“เฮ้อ เป็นอิสระสักที…มีผู้สืบทอดที่ดีปานนี้ ท่านคงจะไปสู่สุขติแล้วกระมัง” ชิวหนี่ทำหน้ารำลึกความหลัง จากนั้นก็ยิ้มเฝื่อนๆ ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ชิวหนี่ไม่พูดอะไรอีก บอกลาพวกอันหลินแล้วไปจากตำหนักแห่งสารท
สวีเสี่ยวหลานลากอันหลินไปยังตำหนักแห่งเหมันต์อย่างกระปรี้กระเปร่า
หลังอันหลินถูกวิชากระบี่ที่ตนภาคภูมิใจที่สุดทำร้ายจิตใจแล้ว สภาพจิตใจก็ไม่ต่างอะไรกับต้าไป๋เลย
หนึ่งคนถูกเกียรติยศแห่งศาสตร์กระบี่ทำร้ายจิตใจ อีกตัวถูกทำร้ายด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย หนึ่งคนหนึ่งสุนัขอยากจะอยู่เงียบๆ
พวกเขาพบกับตงหนานผู้มีผมสีเงินโบกสะบัดในตำหนักแห่งเหมันต์
ตงหนานคนนี้เปิดฉากด้วยประโยค ‘ชีวิตอ้างว้างเหมือนหิมะ ใครกันนะมาจุดประกายชีวิตอันอ้างว้างของข้า’
จากนั้นเขาก็ถูกสวีเสี่ยวหลานผู้ที่งดงามสูงส่งดุจพญาหงส์ดึงดูดใจให้ลุ่มหลง
“อา…เจ้าก็เหมือนเปลวไฟ ทำให้ใจข้าละลาย!”
“แม่นางโฉมงามท่านนี้ เจ้ายอมรับมรดกแห่งน้ำค้างจากข้าหรือไม่”
คำว่ามอบมรดก ทำให้อันหลิน ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์งงเป็นไก่ตาแตก
แต่สวีเสี่ยวหลานกลับส่ายหน้าจริงจัง “ข้าไม่เอา ข้าธาตุไฟ”
“นี่เจ้าไม่เข้าใจเสียแล้ว น้ำแข็งกับไฟไม่ขัดแย้งกัน กลับกันมันเชื่อมโยงกัน หนึ่งสถานที่เมื่อความหนาวเหน็บทั้งปวงจางหาย มันคือก็ไฟ!” ตงหนานอธิบายเสียงหนักแน่น จากนั้นก็ร่ายยาวอีกมากมายก่ายกอง
สวีเสี่ยวหลานถูกหวานล้อมจนยอมรับมรดกแห่งน้ำค้าง น้ำแข็งย้อยหยกลงกลางฝ่ามือ
แม้นางจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดตงหานมากนัก แต่ก็ยึดหลักไม่รับก็เสียดาย ฝืนรับมรดกก้อนนี้…
“สหายสวีเสี่ยวหลาน ขอยันต์ส่งสารหน่อยสิ” ตงหนานพูดด้วยสายตาที่ร้อนรุ่ม
“ไม่เอา วันหน้าหากมีวาสนาต่อกันย่อมพบกันอีก!” สวีเสี่ยวหลานปฏิเสธเด็ดขาดฉับไว
“อา…ข้าชอบผู้หญิงนิสัยร้อนแรงดุจเพลิงอย่างเจ้านี่แหละ!” ตงหนานกุมหน้าอก คิดว่าหัวใจจะละลายอีกแล้ว “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะ พบกันครั้งหน้า ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้!”
หลังตงหนานพูดประโยคนี้ด้วยความไร้ยางอายแล้วก็เหาะออกจากตำหนักแห่งเหมันต์ไปอย่างอ้อยอิ่ง
จนถึงตอนนี้ ตงหนานยังไม่คุยกับอันหลิน เจ้าอัปลักษณ์และต้าไป๋เลยสักคำ
พวกเขาถูกมองเป็นอากาศธาตุ…
“ฮ่าๆ ๆ เหมือนว่ามรดกแห่งน้ำค้างนี่จะมีประโยชน์จริงๆ ด้วย หากสู้ท่ามกลางผืนหิมะ เปลวไฟของตัวเองจะไม่ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิต่ำ…” สวีเสี่ยวหลานแสดงอาการปลาบปลื้มใจ
นางคว้ามืออันหลินแล้วเดินไปที่ตำหนักอีกหลัง เรื่องแบบนี้ไม่เลวเลย!
อันหลินนวดคลึงใบหน้าของตัวเอง สุดท้ายก็อดบ่นไม่ได้ว่า “สวีหลาน สุสานมังกรเหมันต์นี่เป็นของครอบครัวเจ้าหรือ”
“ฮะ” สวีเสี่ยวหลานมองอันหลิน จากนั้นก็เข้าใจความหมายของอันหลิน โบกมือแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “คงเพราะข้ามีวาสนากับสุสานมังกรแห่งนี้กระมัง…”
อันหลินพยักหน้าจริงจัง “วาสนา มหัศจรรย์เหนือบรรยาย!”
ทั้งคู่มาถึงตำหนักหลังที่ห้า ตำหนักนี้ชื่อว่า ‘สังวัจฉระ’
“หนึ่งปีมีสี่ฤดู หรือตำหนักนี้จะเกี่ยวข้องกับตำหนักก่อนหน้านี้” สวีเสี่ยวหลานมองตำหนักตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากลอง
“คงจะกระมัง หรือไม่ก็ความรู้ด้านวรรณกรรมของเจ้าของสุสานมังกรมีปัญหา ถึงได้ตั้งชื่อแบบนี้” อันหลินเองก็ไม่แน่ใจ อย่างไรเสียต้องเข้าไปดูถึงจะรู้
ผลักประตูเข้าไป
สิ่งที่ทั้งคู่เห็นคือชายวัยกลางคนที่สง่างามดุจสัตบุรุษ เมื่อเขาเห็นทั้งสองคน ก็เป็นฝ่ายทักทาย “ยินดีต้องรับสหายทั้งสองมาถึงสังวัจฉระ ขณะเดียวกันก็ยินดีกับพวกเจ้าที่ได้รับมรดกวสันต์ คิมหันต์ สารทและเหมันต์ ข้าชื่อเหนียนจวิน”
รู้ว่าพวกเขาได้รับมรดกของทั้งสี่ตำหนัก คนคนนี้อาจเป็นบอสใหญ่จริงๆ ก็ได้
อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานเห็นดังนั้นก็เริ่มแนะนำตัวเอง จากนั้นมองชายตรงหน้าอย่างสงบเสงี่ยม
พวกเขาพอจะคาดเดาเอกลักษณ์ของสุสานมังกรแห่งนี้ได้แล้ว
แต่ละตำหนักจะมีผู้เฝ้าสุสานหนึ่งคน ผู้เฝ้าสุสานจะเลือกผู้สืบทอดมรดกด้วยตัวเอง ขอเพียงพลังชีวิตสุดท้ายของเสิ่นอิงไม่ปฏิเสธคนคนนั้น เช่นนั้นการสืบทอดมรดกจะสำเร็จ ผู้เฝ้าสุสานก็จะได้รับอิสระเช่นกัน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม