สวีเสี่ยวหลานมองตากลมโตดุจโคมไฟของเจ้าอัปลักษณ์ จมูกที่ยุบลงไป ปากเบี้ยว รู้สึกเคืองตานิดหน่อย
นางคิดในใจ พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
แหวนมิติสว่างวาบ หน้ากากที่ทำจากหินครามปรากฏในมือของนาง
“หน้ากากนี่มีชื่อว่า หน้ากากนักรบคราม ฝีมือประณีตงดงาม ปกติมันจะดูดซึมพลังปราณฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง เมื่อสวมแล้วสามารถปล่อยพลังปราณที่กักเก็บอยู่ภายในหน้ากากออกมาได้ในพริบตา ทำให้เจ้ามีพลังมหาศาลในเวลาอันสั้น เป็นอาวุธวิเศษขั้นสูง ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ มันค่อนข้างเท่…”
เจ้าอัปลักษณ์มองหน้ากากในมือสวีเสี่ยวหลาน ในที่สุดก็ทำหน้าประทับใจ รับหน้ากากมาด้วยสองมือที่สั่นเทา
ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่ามาก ขณะเดียวกันก็เหมาะสมกับมันมากเช่นกัน!
การแสดงความขอบคุณในครั้งนี้ของสวีเสี่ยวหลานเรียกได้ว่าจริงใจ มอบของที่ทุกคนใช้งานได้ ของที่ดีที่สุดที่ตนมีให้ พวกอันหลินจะไม่เข้าใจเจตนาของนางได้อย่างไร
แม้จะเป็นเช่นนี้ สวีเสี่ยวหลานก็ยังรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป
นางขมวดคิ้วงาม พึมพำกับตัวเองว่า “รู้สึกเหมือนลืมใครบางคนไป…”
อันหลินได้ยินคำพูดของสวีเสี่ยวหลานก็โพล่งขึ้นมาทันทีว่า “ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ของข้าก็ได้ของขวัญกันหมดแล้ว จะลืมใครได้อีก อย่าคิดมากเลย ไปกันเถอะ เราไปกินของอร่อยกัน!”
สวีเสี่ยวหลานนึกไม่ออก ทำได้แค่พยักหน้ายิ้มๆ ไม่คิดมากอีก ตามอันหลินเหาะไปยังเมืองหลวงของแคว้นเทียนเหอ
หอเซียนเจิน เมืองหลวงของแคว้นเทียนเหอ
ทุกคนกินอาหารหรูหราขนานแท้ที่นี่ ทั้งมื้อจ่ายไปหกหมื่นกว่าหินวิญญาณ
อาหารหลักในมื้อหรูนี้ ไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไป แต่เป็นอาหารที่มีแร่ธาตุล้ำค่า สัตว์หายากเป็นวัตถุดิบหลัก ปรุงอย่างพิถีพิถันโดยพ่อครัวเซียนชั้นสูง ยามยกอาหารโอชะทั้งหลายมา ไม่ใช่เพียงกลิ่นหอมฟุ้งตลบเท่านั้น แต่ยังแฝงด้วยพลังงานเข้มข้น เรียกได้ว่าเป็นอาหารที่อร่อยและบำรุงร่างกายอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นเจ้าสำนักเซียนขนาดใหญ่ เมื่อมาถึงหอเซียนเจินก็ไม่กล้าสวาปามเช่นนี้ เพราะสิ่งที่กินลงท้องล้วนเป็นวัตถุดิบราคาสูงลิ่ว! แต่พวกอันหลินกลับมีอาหารเต็มโต๊ะ กินอย่างตะกละตะกลาม เมื่อกินหมดแล้ว ก็สั่งให้ยกมาอีกเต็มโต๊ะ… การกระทำแบบนี้ทำให้เศรษฐีวงการเซียนคนอื่นในหอเซียนเจินเหงื่ออาบหน้า ไม่เคยเห็นใครที่กินเก่งปานนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่เคยเห็นใครที่ใช้เงินขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน
หลังอิ่มหนำสำราญแล้ว ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ในสุสานมังกรหายไปเป็นปลิดทิ้งไม่พอ เลือดลมทั่วร่างก็เต็มเปี่ยมอย่างยิ่ง ประหนึ่งมีกำลังที่ใช้ไม่หมด
ทุกคนฉวยจังหวะในยามที่ยังสุขสม เดินทางกลับสรวงสวรรค์อย่างสบายๆ
สองวันต่อมา สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนได้จัดประชุมประจำปี
นักเรียนชั้นปีที่สองได้รับการชื่นชมสรรเสริญ เพราะรบกับเผ่าพันธุ์มด นักเรียนและอาจารย์ที่เข้าร่วมภารกิจบั่นคอครั้งนี้ ได้รับรางวัลมหาศาล แต่อันหลินไม่ได้ให้ความสำคัญมากขนาดนั้น
หลังจากนั้นก็เป็นพิธีจบการศึกษาของนักเรียน หวังเสวียนจ้านเป็นตัวแทนนักเรียนทั้งสำนักในการกล่าวสุนทรพจน์
อันหลินมองชายหนุ่มที่งามสง่า มีความน่าเกรงขามเต็มเปี่ยมบนเวที ในใจอดรำพันไม่ได้ เวลาช่างผ่านไปไวเสียจริง ไม่คิดเลยว่าแม้แต่เขาก็จะจบการศึกษาแล้ว
หวังเสวียนจ้านกับอันหลินก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว มันเป็นมิตรภาพระหว่างรบที่เกิดจากการชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศ สหายที่พึ่งพาได้เช่นนี้จากไปแล้ว อันหลินหงอยเหงามากทีเดียว
หลังกล่าวสุนทรพจน์เสร็จ หวังเสวียนจ้านก็มาอำลาอันหลินเป็นการเฉพาะเช่นกัน
ทั้งคู่เดินอยู่บนทางเดินของรั้วสำนัก เรียกให้นักเรียนเหลียวมองอยู่บ่อยครั้ง เพราะคนหนึ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนัก อีกคนเป็นตำนานของสำนัก ชื่อเสียงโด่งดังมาก
“ศิษย์พี่หวัง ท่านจะไปแคว้นเฟิงหยวนจริงหรือ ได้ยินว่าหน่วยปฏิบัติการในแคว้นเฟิงหยวนของสรวงสวรรค์รบไม่หยุดพัก อันตรายมากนะ” อันหลินได้ยินว่าหวังเสวียนจ้านตัดสินใจจะเข้าร่วมหน่วยปฏิบัติการของสรวงสวรรค์ที่อยู่ในแคว้นเฟิงหยวน จึงอดเป็นห่วงไม่ได้
แคว้นเฟิงหยวนมีอาณาเขตติดต่อกับแดนศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ มักจะมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่าเห็นว่าศัตรูเป็นสาวหิมะรูปโฉมงามสะคราญแล้วจะดูแคลนได้ พวกนางมีความเด็ดขาด ความสามารถเก่งกล้า เหนือกว่าเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทางตะวันตกเฉียงใต้เสียอีก ที่นั่นเป็นจุดที่มีสงครามรุนแรงที่สุดในแดนจิ่วโจว และเป็นหน่วยปฏิบัติการที่อันตรายที่สุดของสรวงสวรรค์เช่นกัน
ใบหน้าคมคายของหวังเสวียนจ้านเผยรอยยิ้มสง่างงาม “ชีวิตนี้ข้าหวังเสวียนจ้านไม่เกรงกลัวศึก และเพราะที่นั่นมีสงครามไม่หยุด ข้าถึงได้เลือกจะไปประจำการที่นั่น มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”
จากนั้นเขาก็พูดอย่างมีเลศนัยว่า “อีกอย่าง…เจ้าลองเดาดูสิว่า ข้าเจอใครที่นั่น”



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม