ซูเฉี่ยนอวิ๋นกำลังจะกลับบ้าน ไม่คิดว่าจะได้เจอบุรุษที่ขี่สุนัขมา
“สหายอันหลิน เจ้ามาได้อย่างไร”
นัยน์ตาสีน้ำเงินของซูเฉี่ยนอวิ๋นฉายความประหลาดใจ เอ่ยด้วยเสียงนุ่มละมุน
อันหลินขี่สุนัขร่อนลงมาหาซูเฉี่ยนอวิ๋น พูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามาใช้หนี้น่ะสิ!”
“ใช้หนี้หรือ” ซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบดวงตาที่สุกใสดุจผืนทะเลปริบๆ จู่ๆ ก็ตบเข่าฉาด นึกออกแล้ว “อ้อ! สหายอันหลินอยากจะจ่ายค่ายาเซียนขั้นสองเม็ดนั้นหรือ”
“อันที่จริงพี่ฉางเอ๋อก็ไม่ได้บอกให้เจ้าจ่ายค่ายาเซียนเม็ดนั้นนี่นา ต่อให้เจ้าจะชดใช้หนี้บุญคุณครั้งนี้ให้ได้ ก็ต้องเก็บเงินให้ได้พอสมควรแล้วค่อยคืนสิ เก็บเงินแค่ปีสองปี คืนทีละนิดมันยุ่งยากเกินไป ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก…”
อันหลินเกาหัว “แต่ข้าคิดว่าข้าเก็บได้พอสมควรแล้วนี่นา”
ซูเฉี่ยนอวิ๋นยิ้มบางๆ อธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “ไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดนะ ยาเซียนชนิดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่กี่แสนหินวิญญาณจะจัดการได้…ข้าไม่ได้พูดให้เจ้าตกใจนะ อย่างเม็ดยาสรรสร้างชีวิตแทบจะเทียบเท่ายาเซียนขั้นหนึ่งนั้น หากไม่มีร่วมสิบล้านหินวิญญาณก็อย่าไปเลย”
ซูเฉี่ยนอวิ๋นรู้ว่าในปีสองปีนี้อันหลินมีรายได้ไม่น้อย คาดว่าคงจะมีสักหนึ่งล้านหินวิญญาณ สำหรับนักพรตทั่วไปแล้ว เงินก้อนนี้นับว่าเป็นเงินก้อนใหญ่ล้นฟ้า แต่เงินก้อนนี้กลับไม่เพียงพอจะชดใช้ยาเซียนเม็ดนั้น บุ่มบ่ามเอาเงินไปแบบนี้ จะทำให้ฉางเอ๋อไม่พอใจเอาได้
นางกังวลว่าหากอันหลินได้ยินราคาของยาเซียนเม็ดนี้จะกดดันเกินไป จึงปลอบโยนเสียงหวานว่า “สหายอันหลินค่อยๆ เก็บเงินเถอะ พี่ฉางเอ๋อไม่ถือสาเอาความหรอก”
อันหลินลูบคาง “อืม…สิบสี่ล้านแปดแสนหินวิญญาณก็ยังไม่พอหรือ”
“อืม สิบสี่ล้านแปดแสนหินวิญญาณก็ไม่…” ซูเฉี่ยนอวิ๋นพูดได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดชะงัก
นางเงยหน้าขึ้น ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้ามีสิบสี่ล้านแปดแสนหินวิญญาณหรือ!”
“ก็ใช่น่ะสิ บังเอิญโชคดีน่ะ แหะๆ…” อันหลินพูดอย่างเขินอาย
ซูเฉี่ยนอวิ๋นตกใจจนพูดไม่ออก โชคแบบไหนกันถึงได้เก็บเงินสิบสี่ล้านกว่าหินวิญญาณในเวลาไม่ถึงสองปี ต่อให้นางจะเป็นราชนิกุล เห็นความมั่งคั่งมาทุกชนิด ก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อมากอยู่ดี
ต้องรู้ว่าเงินก้อนนี้สำหรับเซียนสวรรค์ระดับหวนสู่ความว่างเปล่า ก็ยังนับเป็นเงินมหาศาลก้อนหนึ่ง แต่อันหลินกลับเก็บออมได้ภายในระยะเวลาสองปี…บ้าไปแล้ว!
ซูเฉี่ยนอวิ๋นสงบสติอารมณ์ นัยน์ตาคู่งามจดจ้องอันหลิน เมื่อเห็นอากัปกิริยาที่ไม่เหมือนล้อเล่นของเขาแล้ว สุดท้ายก็พยักหน้าจริงจัง “ได้ ข้าจะพาเจ้าไปที่วังจันทรา”
บนแผ่นดินสีเงินกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตมีต้นหอมหมื่นลี้ล้นหลามปานผืนทะเล
ดอกหอมหมื่นลี้ส่งกลิ่นหอมขจรขจาย ชวนให้ลุ่มหลง
หากคนธรรมดาอยู่ที่นี่ ได้สูดดมกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ที่แฝงพลังจันทรา จะยืดอายุได้ถึงสิบปี
อันหลินขี่ต้าไป๋ ลอดผ่านป่าหอมหมื่นลี้ตามซูเฉี่ยนอวิ๋น มาถึงหน้าพระราชวังใหญ่โตโอ่อ่าแห่งหนึ่ง
วังแผ่รัศมีสีขาวนวลกระจ่าง แลดูบริสุทธิ์ผุดผ่องสุขสงบ
หน้าประตูมีป้ายแขวนเขียนไว้ว่า ‘ห้ามบุรุษและสุนัขเข้า’
ใบหน้านวลลออของซูเฉี่ยนอวิ๋นฉายความรู้สึกผิด พูดกับต้าไป๋ว่า “ต้าไป๋ วังจันทรามีข้อห้าม เจ้ารออยู่หน้าประตูก่อนนะ”
อันหลินหัวเราะร่า กระโดดลงจากต้าไป๋ ลูบหัวมันแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ห้ามสุนัขเข้า ไปเล่นก่อนไป”
ต้าไป๋ถลึงตา “ตะลึงโลก! ห้ามบุรุษและสุนัขเข้า…แต่อันหลินเข้าไปได้ เบื้องหลังมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่…โฮ่ง”
อันหลิน “…”
ไม่คิดเลยว่าเขาแค่เอ่ยปากหยอกเย้านิดหน่อย กลับถูกแว้งกัด ท่าทางกลับไปต้องสั่งสอนต้าไป๋สักหน่อยแล้ว
ซูเฉี่ยนอวิ๋นได้ยินคำพูดของต้าไป๋ ใบหน้าผุดผ่องก็ขึ้นสี พูดเสียงอ่อนว่า “สหายอันหลิน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ เจ้ายังเป็นผู้ชาย ข้า…ข้าให้เจ้าเข้าไปเป็นกรณีพิเศษ!”
มุมปากของอันหลินกระตุก เรื่องที่ฉันยังเป็นผู้ชายต้องอธิบายจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ สหายซูเธอไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!
จากนั้นซูเฉี่ยนอวิ๋นก็ลากอันหลินเดินเข้าไปในอาณาเขตของวังจันทรา
อันหลินเห็นนางฟ้ารับใช้สวมชุดขาวพลิ้วไหว มีผ้าบางขาวคลุมหน้ามากมาย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม