เซียนพสุธาเยว่อิ่งนอนอยู่บนตำรา กำลังใช้พลังจิตตรวจสอบสถานการณ์ภายในเขตที่นางรับผิดชอบ
บัดนี้ศึกแห่งมิตรภาพเข้าสู่ช่วงหลังแล้ว การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นน้อยลงอย่างมาก
แต่ทุกการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ล้วนเป็นการต่อสู้คุณภาพสูงแทบจะทั้งหมด
ขณะนั้นเอง กลิ่นอายลมปราณอันคุ้นเคยก็พุ่งเข้ามาในขอบเขตกระแสจิตของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง
“เอ๊ะ ขี่กระบี่เหินเวหาหรือ อัจฉริยะระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณคนไหนกัน”
จากนั้น ข้อมูลสถิติหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสมุดของนาง
อันหลิน ค่าพลัง 205 ค่าความดี 380
“คุณพระ ล้อกันเล่นหรือเปล่า! เขาไปเจออะไรมากันแน่”
เซียนพสุธาเยว่อิ่งเบิกตากว้าง มองสถิติในสมุด ลูกตาแทบถลนออกมา
นึกถึงตอนแรกที่ค่าพลังของอันหลินมีแค่หนึ่งร้อยนิดๆ แถมค่าความดีก็หนึ่งร้อยต้นๆ แล้ว
ตอนนี้ค่าพลังกลับเพิ่มทวีคูณ ค่าความดีเพิ่มขึ้นตั้งกี่เท่ากัน
“ใช้โหมดโกงหรือ” เซียนพสุธาเยว่อิ่งพึมพำ
นางไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าความดีมีมากหน่อยได้ แต่ค่าพลังไม่ใช่สิ่งที่จะเพิ่มกันได้ง่ายๆ! ซ้ำยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีอีกด้วย!
ค่าพลัง 250 เป็นระดับกลางของนักเรียนกายแห่งมรรคขั้นสิบของสำนัก เขาอยู่แค่ระดับกายแห่งมรรคขั้นแปดไม่ใช่หรือ
มิหนำซ้ำเขากำลังขี่กระบี่เหินเวหา… เขายังอยู่กับหลิวเชียนฮ่วนหรือ
เซียนพสุธาเยว่อิ่งรับรู้ถึงสภาวะเหาะเหินของเขาได้คร่าวๆ เท่านั้น เมื่อคิดโยงไปถึงเรื่องราวก่อนหน้า จึงได้ข้อสันนิษฐานเช่นนี้
ดังนั้น นางจึงเริ่มเพ่งความสนใจไปที่อันหลิน
ต่อมา นางก็สงบนิ่งมากขึ้น
“คุณพระ ไม่ใช่หลิวเชียนฮ่วน เขากำลังขี่สุนัข! สุนัขตัวนี้มันอะไรกัน!”
มุมปากของเซียนพสุธาเยว่อิ่งกระตุก สุนัขระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณตัวนี้มาได้อย่างไร
ในบรรดานักเรียนระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณยี่สิบสองคนของสำนัก ไม่เคยได้ยินว่าคนไหนแปลงร่างเป็นสุนัขได้นี่นา!
หากว่าลูกศิษย์คนอื่นเข้าสู่ขอบเขตกระแสจิตของนาง ย่อมต้องมีข้อมูลสถิติที่สัมพันธ์กันปรากฏขึ้นในตำรา แต่ชัดเจนว่าสุนัขตัวนี้ไม่มี…
ตอนที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย สัตว์เทพไม่มีทางถูกเคลื่อนย้าย เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงประการเดียว…
เซียนพสุธาเยว่อิ่งแสดงอาการตกใจ หรือสุนัขตัวนี้จะเพิ่งทะลวงขั้นกลายเป็นสัตว์เทพไปหมาดๆ!
คุณพระ! ใครบอกข้าได้บ้างว่า เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นควรจัดการอย่างไร!
“อันหลิน เจ้าอย่าให้โจทย์ยากกับข้านะ มิเช่นนั้นคาบเรียนหน้าได้เห็นดีกันแน่!” เซียนพสุธาเยว่อิ่งจ้องชายหนุ่มที่กำลังขี่สุนัขเหาะเหินอย่างเบิกบานใจ รำพึงรำพันกับตัวเอง
นางเพิ่งพูดไปหยกๆ ก็เห็นสุนัขตัวนั้นพุ่งลงไปหานักเรียนคนหนึ่งบนผิวดินอย่างฮึกเหิม เห็นได้ชัดว่าจะเปิดศึกแล้ว!
เซียนพสุธาเยว่อิ่ง “…”
…
ข้าชื่อฉินเฟิง เป็นผู้แข็งแกร่งกายแห่งมรรคขั้นสิบของปีสองห้องหนึ่ง
ผลการรบในตอนนี้ของข้าคือเอาชนะนักเรียนกายแห่งมรรคขั้นสิบไปแล้วหกคน นักเรียนที่มีระดับต่ำกว่าข้าอีกยี่สิบกว่าคน
ครั้งนี้ ข้าคิดว่าข้ามีความหวังจะได้เข้าสู่หนึ่งในร้อยอันดับของอันดับเซียนแห่งสำนักแล้ว
ใช่แล้ว ขอแค่การต่อสู้อันสาแก่ใจอีกไม่กี่ครั้ง เป้าหมายของข้าก็จะสำเร็จ!
ฉินเฟิงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ชุดสีฟ้าโบกพลิ้ว มือถือกระบี่สีขาว ท่าทางดูน่าเกรงขาม
ขณะนั้นเอง ลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งก็พุ่งมาหาเขา
“แย่แล้ว ยอดฝีมือหล่อเลี้ยงวิญญาณมาแล้ว!” ฉินเฟิงตกใจ
แต่ไม่นานเขาก็สงบสติอารมณ์ เพราะนี่เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส!
ได้สำแดงพลังทั้งหมดของเขาต่อหน้ายอดฝีมือระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณได้อย่างเต็มที่ จากนั้นอดทนไม่กี่กระบวนท่าแล้วค่อยแพ้พ่าย
เช่นนั้นคะแนนที่อาจารย์ให้เขาจะสูงขึ้น โอกาสเข้าไปอยู่ในร้อยอันดับเซียนของสำนักจะสูงมากขึ้น!
“ผู้มาเยือนคือใคร ข้าฉินเฟิง ปีสองห้องหนึ่ง!”
ฉินเฟิงแหงนหน้ามองฟ้า ลมปราณอันแข็งแกร่งมาจากบนท้องนภา
“บัดซบ หมาตัวนั้นมันอะไรกัน!”
ฉินเฟิงเห็นสุนัขตัวใหญ่ที่เหาะเหินกลางอากาศ ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ขณะนั้นเอง ผู้ชายที่นั่งบนหลังสุนัขก็ตะโกนลั่นว่า “ข้าอันหลิน ปีหนึ่งห้องหนึ่ง รุ่นพี่ฉินเฟิงขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
ฝากเนื้อฝากตัวงั้นหรือ
ฉินเฟิงเบิกตากว้างมองหนึ่งคนหนึ่งสุนัข ยังไม่ทันเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร สุนัขที่พุ่งทะยานลงมา ก็ยกอุ้งเท้าขึ้นมาจะตะปบเขา
ฉินเฟิงสมกับเป็นผู้แข็งแกร่งที่ผ่านมาร้อยสมรภูมิรบ แม้การโจมตีของต้าไป๋จะปราดเปรียวเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยกกระบี่ขึ้นขวางหน้าได้ทันท่วงที
ปึง!
พลังอันน่ากลัวกระจายมา ทำให้ตัวเขาลอยออกไป
แข็งแกร่งนัก! ฉินเฟิงตกตะลึง สุนัขสีขาวตัวนี้มีพลังระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วจริงๆ!



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม