“จักรพรรดินีปี้ฉงเรียกหาข้าทำไม”
อันหลินงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อทราบข่าวนี้
สวีเสี่ยวหลานเบะปากพูดว่า “จะเพราะอะไรได้อีกล่ะ อยากชื่นชมความสง่างามของเซียนกระบี่อันหลินน่ะสิ”
“อืม มีเหตุผล” อันหลินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สวีเสี่ยวหลาน “… หนังหน้าเจ้าหนากว่าเปลือกโลกหรือไง”
เซวียนหยวนเฉิงทำท่าครุ่นคิด “จู่ๆ นางก็เชิญเจ้า หรือจะเกี่ยวข้องกับพวกศิษย์พี่หลิว”
สวีเสี่ยวหลานพยักหน้า “มีเหตุผล พลังต่อสู้ของศิษย์พี่หลิว น้อยคนในแผ่นดินนี้จะต่อกรกับนางได้ ไม่มีทางเงียบเชียบทั้งที่ผ่านมาหลายวันเช่นนี้ ข้าคิดว่าสี่คนที่เหลือน่าจะมีอะไรบางอย่างทำให้ต้องอยู่ที่จักรวรรดิทีฆชาติ”
“ไปกันเถอะ อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราไปจักรวรรดิทีฆชาติ ไปดูเผ่าพันธุ์ภูตงูในตำนานสักหน่อย!” อันหลินสงสัยในเผ่าพันธุ์ภูตงูของแผ่นดินนี้นานแล้ว ฉวยจังหวะนี้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย
หลังทุกคนปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจเดินทางทันที ถือโอกาสถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียนสวรรค์โส่วหยางกับจักรพรรดินีด้วย
ทั้งห้าร่างเหาะออกจากวังหลวง มุ่งหน้าสู่จักรวรรดิทีฆชาติ
จากนั้นพวกเขาก็เจอคนรู้จักคนหนึ่งกลางเวหา
ชายวัยกลางคนสวมชุดสีม่วงคนหนึ่ง มีรอยยิ้มอ่อนโยนดุจลมวสันต์โค้งคำนับทุกคนอย่างงามสง่า
พูดกันว่า ไม่พบสามวันกลายเป็นอื่น ท่าทางจะเป็นความจริง
พวกอันหลินแทบจะจำชายคนตรงหน้าไม่ได้แล้ว
จักรพรรดิจื่อหยางไม่น่าจะหล่อขนาดนี้นะ!
เขาไม่ควรจะเป็นเจ้าวิปริตที่สวมแค่กางเกงใน เนื้อตัวทั้งแดงและเกรียมคนนั้น
จะหล่อไปแข่งกับใคร
เมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของทุกคน มุมปากของจักรพรรดิจื่อหยางก็กระตุกยิกๆ
“แหะๆ บังเอิญนักที่ได้พบเจอทุกคนที่นี่” จักรพรรดิจื่อหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนทำหน้าระอาใจ พี่ชายอย่าโกหกหน้าด้านๆ ได้ไหม ตัวตลกที่ไหนกันนะที่รีบรุดเหาะเข้ามาขวางหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย!
“นั่นสิ บังเอิญจังเลย สหายจื่อหยางมีธุระอะไรหรือ” อันหลินตัดสินใจไว้หน้าจักรพรรดิจื่อหยาง เพราะตอนนั้นถูกเขารังแกจนอนาถปานนั้น ก็รู้สึกผิดอยู่มากเหมือนกัน
“อืม ข้าอยากร่วมมือกับพวกเจ้า” จักรพรรดิจื่อหยางพูดอย่างจริงจังว่า “ขอแค่พวกเจ้าพาข้าไปจากโลกใบนี้ ทำให้ข้ามีโอกาสก้าวหน้าไปอีกขั้น ข้ายอมช่วยพวกเจ้าในโลกใบนี้สุดความสามารถ”
กำลังเสริมระดับจักรพรรดิสงคราม ทำให้พวกอันหลินหวั่นไหวแล้ว
อันหลินมองจักรพรรดิจื่อหยางแล้วพูดว่า “ทางออกที่พวกเราหาเจอ เจ้าอาจจะไม่มีสิทธิ์ผ่านก็ได้”
สีหน้าของจักรพรรดิจื่อหยางหนักแน่น “ไม่เป็นไร ข้ายินดีจะลองดู!”
“อีกอย่างโลกภายนอกไม่มีพลังเช่นปราณสงครามนะ” อันหลินพูดเสริม
ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า จักรพรรดิจื่อหยางนิ่งไปแล้ว
เขาอาศัยระบบพลังงานของปราณสงคราม กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่ประโยคนั้นของอันหลินกลับบ่งบอกว่า หากเขาไปยังอีกโลก จำต้องละทิ้งปราณสงคราม เริ่มต้นบำเพ็ญเพียรใหม่…
เช่นเดียวกับปลาที่จากผืนทะเลไปยังทะเลทราย มันไม่กลายเป็นปลาตายก็ต้องเป็นปลาเค็ม!
“ผู้อาวุโสจื่อหยาง การทะลวงขั้นของมรรควิถี ใช่ว่าจะบรรลุได้ด้วยการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญเพียร ในแผ่นดินปราณสงคราม ก็ก้าวหน้าได้เช่นกัน เจ้าต้องมั่นใจในตัวเอง” แม้เซวียนหยวนเฉิงจะต้องการความช่วยเหลือจากจักรพรรดิสงคราม แต่เขาก็ไม่สนับสนุนให้จื่อหยางเสี่ยงอันตรายเดินทางไปอีกโลกหนึ่ง
ไม่คิดว่าจักรพรรดิจื่อหยางจะยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น “พลังยุทธ์ของข้าหยุดนิ่งมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่เจอทางออกเลยแม้แต่นิด…ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าอยากลองดูสักตั้ง!”
เมื่อเห็นจักรพรรดิจื่อหยางยังคงยืนหยัด พวกอันหลินก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก พาจักรพรรดิสงครามคนนี้เดินทางไปด้วยก็ไม่เลวเหมือนกัน
ส่วนความภักดีนั้น จักรพรรดิจื่อหยางสาบานต่อสวรรค์แล้ว พวกอันหลินก็ไม่กังวลแล้ว
ลำแสงเจ็ดเส้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ข้ามน้ำข้ามทะเล
ทุกคนเข้าสู่เขตของจักรวรรดิทีฆชาติโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดอันหลินก็ได้เห็นเผ่าพันธุ์ภูตงูในตำนานแล้ว รูปร่างลักษณะของพวกเขาคล้ายคลึงกับมนุษย์ หางงูร่างมนุษย์ บ้างก็มีปีกงอกออกจากแผ่นหลัง สีผมก็มีหลากหลายสีสัน เต็มเปี่ยมด้วยความเฉพาะตัว
“พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเผ่าพันธุ์ภูตงูใกล้เคียงกับมนุษย์ แต่พื้นฐานทางกายภาพของพวกเขากลับแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ประมาณสามเท่า อายุขัยก็มากกว่ามนุษย์สองเท่า” จักรพรรดิจื่อหยางทอดมองเผ่าพันธุ์ภูตงูที่อยู่เบื้องล่าง เอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
มาถึงระดับที่เขาอยู่ ไหนเล่าจะสนใจว่าพลทหารเป็นคนไร้ประโยชน์ระดับห้าหรือระดับสิบ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม