อันหลินเช็ดน้ำชาบนหน้าด้วยความจนใจเล็กน้อย
จากนั้น ภายใต้สายตาจริงจังและจริงใจอย่างยิ่งของอันหลิน สุดท้ายสวีเสี่ยวหลานก็ฝืนใจยอมรับความจริงที่แม้แต่บำเพ็ญเพียรเขาก็ทำไม่เป็น
สวีเสี่ยวหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบตำราที่สอนวิธีการกำหนดลมหายใจยามบำเพ็ญเพียรออกจากแหวนมิติ
“นี่เป็นตำราการกำหนดลมหายใจยามบำเพ็ญเพียรที่ข้าอ่านตอนสามขวบ อ่ะ ข้ายกให้เจ้า”
พูดจบ สวีเสี่ยวหลานก็โยนตำราให้อันหลินอย่างใจกว้าง
อันหลิน “…”
ดึกสงัดเงียบสงบ ดาวดวงพร่างพราย ในบ้านพักหลังหนึ่งมีแสงไฟสว่างไสว
อันหลินตั้งใจเปิดอ่านตำราวิชา โดยมีสวีเสี่ยวหลานคอยนั่งตอบข้อสงสัยต่างๆ นานาที่เขาเอ่ยถามอย่างมีน้ำอดน้ำทน
สำหรับอันหลินแล้ว การบำเพ็ญเซียนก็คือโลกใบใหม่ ทุกทฤษฎีล้วนแปลกใหม่สำหรับเขา
เช่นยามกำหนดลมหายใจซึมซับพลังชีวิตฟ้าดิน ต้องให้มันผ่านเส้นลมปราณเส้นใดบ้าง ควรจะปลุกพลังภายในอย่างไร ระดับพลังมากน้อยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไร…
อันหลินตั้งใจฟังมากเป็นพิเศษ และกระตือรือร้นถามมากเป็นพิเศษเหมือนกัน แถมยังจดบันทึกอยู่บ่อยครั้ง
สวีเสี่ยวหลาน ในฐานะอัจฉริยะของแคว้นสือหลง ตอนนี้สอนอันหลินบำเพ็ญเซียน ความรู้สึกไม่แตกต่าง ไม่ได้สบายไปกว่ากันมากนัก…
คุณพระ… เขาแยกเส้นลมปราณในร่างกายไม่ออกด้วยซ้ำ อยู่รอดมาถึงอายุสิบแปดได้อย่างไร!
ไม่รู้ว่าจะระดมพลังชีวิตอย่างไร!
ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่น่าจะเคยเห็นหมูวิ่งบ้างสิ![1]
สวีเสี่ยวหลานแทบจะเสียสติ นางอธิบายความรู้พื้นฐานที่สุดให้อันหลินฟังทีละตัวทีละประโยค ซ้ำยังใช้มือประกอบท่าทางอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าอันหลินกลับทำหน้ามึนงงแล้วมึนงงอีก มึนงงอีกหลายครั้ง…
ในค่ำคืนนี้ สำหรับทั้งสองคนแล้ว เป็นค่ำคืนแห่งความทรมานที่ควรค่าแก่การจารึกไว้
ผ่านไปนานมาก นานแสนนาน อันหลินเดินออกจากประตูห้องสวีเสี่ยวหลานด้วยความซาบซึ้งเต็มอก
สวีเสี่ยวหลานขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่ส่งแขกผู้มีเกียรติอย่างอันหลินไปได้สักที
แต่ไม่ว่าอย่างไร คืนนี้อันหลินก็ได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เพราะในที่สุดเขาก็บำเพ็ญเซียนเป็น ซึมซับพลังฟ้าดินเป็นแล้ว!
พอกลับถึงห้อง เขาก็อดรนทนไม่ไหวเริ่มนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ
ระหว่างที่นั่งสมาธิ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังแข็งแกร่งขึ้นช้าๆ แม้ความแตกต่างจะไม่มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้เขามองเห็นความหวังแล้ว
“เฮ้อ เส้นทางจากคนไม่เอาไหนจนเป็นอัจฉริยะ เต็มไปด้วยขวากหนามจริงๆ” ขณะที่อันหลินนั่งทำสมาธิในห้องอยู่นั้น ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
วันต่อมา ชีวิตการเรียนรู้ในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนของอันหลินเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว
สำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนถูกก่อตั้งโดยสรวงสวรรค์ เป็นโรงเรียนที่อบรมบ่มเพาะผู้บำเพ็ญเซียนโดยเฉพาะ
ในโรงเรียนรวมเอาอัจฉริยะมากเหลือคณานับของแคว้นจิ่วโจวไว้
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนในสำนักนี้ได้ ล้วนเป็นอัจฉริยะในวงการบำเพ็ญเซียน
และในโรงเรียนแห่งนี้ คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือลูกศิษย์ห้องหนึ่ง พวกเขาเป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ
ว่าที่ดาวรุ่งแห่งวงการบำเพ็ญเซียนในอนาคต โดยส่วนใหญ่แล้วล้วนมาจากห้องเรียนอย่าง ‘ห้องหนึ่ง’
ผู้บำเพ็ญเซียนของแคว้นจิ่วโจว ส่วนใหญ่แล้วชั่วชีวิตนี้ อาจจะหยุดอยู่ที่ระดับกายแห่งมรรคขั้นห้ากันทั้งหมด
แต่ลูกศิษย์ห้องหนึ่ง ระดับพลังยุทธ์ต่ำที่สุดคือกายแห่งมรรคขั้นแปด แน่นอนว่า ยกเว้นอันหลิน…
บอกตามตรง เรียนห้องเดียวกับอัจฉริยะเหล่านี้ ความกดดันของอันหลินใหญ่หลวงนัก!
อาคารเรียนที่ใช้สำหรับเรียน ก่อสร้างจากหินวิญญาณหยกขาวชั้นหนึ่ง พลังชีวิตอันเข้มข้นอบอวลทั่วพื้นที่
และเป็นเพราะเหตุนี้เอง เวลาลูกศิษย์เล่าเรียนในอาคารเรียน พลังยุทธ์ถึงได้เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากไม่ใช่เพราะในอาคารเรียน มีค่ายกลขัดขวางไม่ให้ลูกศิษย์ดูดซึมพลังชีวิตของหินวิญญาณโดยพลการ เกรงว่าอาคารเรียนคงจะถล่มในวันต่อมาแล้ว
อันหลินก้าวผ่านประตูของห้องเรียนที่เขาอยู่ด้วยสภาพจิตใจที่วิตกกังวล
เหตุการณ์ ‘อัจฉริยะเยาะเย้ย’ ที่เขาคาดการณ์ไว้ ไม่ถูกฉายที่นี่
แม้เหล่าอัจฉริยะในห้องนี้ จะพากันมองมาที่เขา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประเมินเขาด้วยสายตาที่เจือความแปลกใจ
ชื่อของ ‘อันหลินเด็กเส้นที่เส้นใหญ่ที่สุด’ กระจายไปทั่วสำนักตั้งแต่วันแรกของการลงทะเบียนแล้ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม