ม่อไห่มองจี้หย่งฟางที่แยกออกไปเพราะโมโห กอดไหล่อันหลินอย่างเริงร่า เอ่ยอย่างเห็นด้วยยิ่งว่า “สหายอันหลินช่างเป็นคนเปิดเผยดีจริงๆ ข้าไม่ได้เห็นมาดด่าคนที่เถรตรงยอดเยี่ยมแบบนี้มานานแล้ว!”
อันหลินส่ายหน้าพูดถ่อมตัวว่า “สหายม่อไห่ชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นแค่คนกวาดขยะ ตรงไหนสกปรกก็กวาดตรงนั้น”
ม่อไห่ชะงักก่อน จากนั้นก็ทำหน้าชื่นชมยิ่งกว่าเดิม
ในตอนนั้นเอง ศิษย์ชายที่ท่าทางอ่อนโยนคนหนึ่งก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามา แล้วประสานมือทักทายอันหลิน “ข้าน้อยหลู่เจียจื้อแห่งสำนักวิหคชาด ขอคารวะสหายอันหลิน”
“ที่แท้ก็สหายหลู่เจียจือนี่เอง ยินดีที่ได้พบๆ!”
อันหลินประสานมือคำนับตอบเช่นกันด้วยมาดของสัตบุรุษที่สง่างาม
ม่อไห่เห็นท่าทางของอันหลินก็อยากจะขำ ก่อนและหลังแตกต่างกันมากเหลือเกิน
“ศิษย์พี่หลู่เจียจื้อท่านนี้เป็นอัจฉริยะที่เป็นรองเพียงข้าในสำนัก บรรลุแปลงจิตด้วยวัยยี่สิบหก แปลงจิตขั้นกลางตอนสามสิบสอง เป็นนักพรตที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง” ม่อไห่แนะนำกับอันหลิน
หลู่เจียจื้อได้ฟังมุมปากก็กระตุกน้อยๆ สิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุดก็คือ คนที่แนะนำคนอื่น ก็ยังไม่วายชมตัวเองอย่างม่อไห่
อันหลินกลับพยักหน้าอย่างลิงโลด เห็นพ้องด้วยอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นก็เก่งกาจมากจริงๆ ข้าก็เพิ่งบรรลุแปลงจิตตอนอายุยี่สิบเช่นกัน ต่อไปขอให้สหายทุกคนช่วยชี้แนะด้วย”
ม่อไห่ “…”
หลู่เจียจื้อ “…”
“จริงสิ ปีก่อนที่ข้าเจอสหายม่อไห่ยังอยู่ในระดับกึ่งแปลงจิต เจ้าบรรลุแปลงจิตตอนอายุเท่าใด” อันหลินพูดอย่างสนเท่ห์
ม่อไห่กลอกตา “สหายอันหลิน เจ้าจงใจสินะ”
“เขาแปลงจิตตอนยี่สิบสาม” หลู่เจียจื้อกระแอม เอ่ยด้วยรอยยิ้มเชิงเอาคืน
เหอะๆ ใครใช้ให้เจ้าอวดดี ตอนนี้รู้รสชาติของการถูกคนอื่นข่มแล้วสินะ
“เฮ้อ…สหายอันหลินสมกับเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสรวงสวรรค์ มีเพียงคนอย่างเจ้าที่คู่ควรกับศิษย์น้องสวีเสี่ยวหลาน” ม่อไห่ส่ายหน้าทอดถอนใจ
“จริงสิ สวีเสี่ยวหลานบอกว่านางหลอมรวมเพลิงพลังงานไว้ในทะเลปราณแล้ว ตามกฎเปิดห้าปีครั้งของคุกวิหคชาด เช่นนั้นนางก็มาที่คุกวิหคชาดตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมพวกเจ้ากลับล่าช้าปานนี้ล่ะ” อันหลินค่อนข้างฉงนใจ
ม่อไห่กลอกตาใส่อันหลิน “สหายอันหลิน เจ้าโจมตีเป็นนิสัยหรือ”
อันหลินกะพริบดวงตาใสซื่อปริบๆ ครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
หลู่เจียจื้ออธิบายยิ้มๆ ว่า “ศิษย์น้องสวีเสี่ยวหลานมีสายเลือดพญาหงส์ที่บริสุทธิ์ยิ่ง นางไม่ต้องตามหามายาวิหคชาด ลูกไฟเหล่านั้นจะลอยมาหานางเอง การทดสอบนั้นจึงไม่มีความยากและอันตรายกับนางเลยสักนิด เข้าไปแล้วแค่ยืนอยู่กับที่ก็เพียงพอแล้ว”
“คุณพระ น่ากลัวปานนั้นเชียว นี่มันติดบัคดึงดูดตัวร้ายชัดๆ!” อันหลินเบิกตากว้างพร้อมกับอุทานอย่างตกใจ
หลู่เจียจื้อมองม่อไห่แล้วยิ้มมีเลศนัย “อันที่จริงสายเลือดของศิษย์น้องม่อไห่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์น้องสวีเสี่ยวหลานเลย เพียงแต่ระดับความเข้ากันได้ของสายเลือดกับมายาเพลิงวิหคชาดไม่สูงก็เท่านั้น”
“แต่หลังศิษย์น้องสวีเสี่ยวหลานได้รับมรดกของเสิ่นอิง ปลุกสายเลือดมังกรให้คืนชีพ สายเลือดมังกรหงส์ผสานกันแล้ว มันจึงเหนือกว่าศิษย์น้องม่อไห่นิดหน่อย ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปี อันดับหนึ่งของรุ่นหนุ่มสาวแห่งสำนักวิหคชาด อาจจะเปลี่ยนมือก็ได้…”
ม่อไห่ฟังหลู่เจือจื้อพูดจนเอื้อนเอ่ยอะไรไม่ออก ทำได้เพียงทอดถอนใจ “ศิษย์พี่หลู่ ท่านเลิกพูดได้แล้ว ครั้งหน้าหากข้าแนะนำท่าน ไม่ใช้คำว่า ‘ท่านด้อยกว่าข้า’ ก็พอแล้วกระมัง”
อันหลินกำลังสนอกสนใจ จึงพูดแทรกว่า “ทั้งสองเก่งกาจปานนี้ แล้วจี้หย่งฟางอยู่ที่เท่าใด”
“เขาน่ะหรือ…” ใบหน้าของหลู่เจียจื้อฉายความดูแคลน “พอจะอยู่ในสิบอันดับแรกของรุ่นหนุ่มสาวได้ อาศัยบารมีที่มีพ่อเป็นผู้อาวุโสก็เท่านั้น แปลงจิตขั้นต้นตอนสามสิบสอง ตอนนี้จวนสี่สิบแล้ว ยังไม่แตะระดับแปลงจิตขั้นกลางเลย”
อันหลินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ คนพรรค์นี้มีภัยคุกคามแทบจะเป็นศูนย์สำหรับเขา
เขามองลูกศิษย์ที่อยู่ขนาบข้างประตูต่างมิติ ชี้หญิงสาวที่สวมกระโปรงรัดเอวสีขาว รูปร่างระหงเย้ายวน แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉยประหนึ่งหญิงงามผู้เย็นชา “แล้วนางเป็นใครหรือ”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม