นักพรตมนุษย์เห็นฝีมืออันเหนือธรรมชาติของชายกลางอากาศคนนั้นประจักษ์แก่สายตา บัดนี้ต่างก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“เขาเป็นอันหลินที่เรารู้จักจริงๆ เหรอ”
“เจ้าแห่งพิษน่ากลัวสมชื่อ!”
“เสร็จกัน บนกระบี่ของฉันมีเลือดของเขาติดอยู่ เขาจะมาหาเรื่องฉันหรือเปล่า…”
…
นักพรตบนพื้นพูดคุยกันดังเซ็งแซ่
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาต่างก็นับถือบุคคลกลางอากาศคนนั้นดุจเทพเจ้า
เมื่อเทียบกันแล้ว นายหญิงอ้านเย่ผู้สร้างฝันร้ายให้กับพวกเขา บัดนี้อ่อนแออย่างยิ่ง
ใบหน้าของนางค่อยๆ แก่ชราลง เส้นผมดำขลับกลายเป็นขาวโพลน พละกำลังก็อ่อนลงราวกับไม่มีอยู่
นางที่จวนจะสูญเสียพละกำลัง วิญญาณ พลังยุทธ์และชีวิต ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้ว มีเพียงความสิ้นหวังต่อความตายเท่านั้น
“หากเป็นข้าเมื่อก่อน คงมองว่าเจ้ากระจอกงอกง่อย บัดนี้ ข้าคงจะกระจอกงอกง่อยในสายตาเจ้าแทนแล้วกระมัง”
อ้านเย่พูดด้วยสุ้มเสียงอันแหบพร่า นางในตอนนี้ หมดเรี่ยวแรงจะขัดขืนแล้ว
นางเคยเป็นราชินีผู้สูงส่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ ยามนี้กลับถูกคนต่ำต้อยเหยียบย่ำ
อันหลินมองหญิงใกล้ตายคนนี้พลางส่ายหน้า พูดเสียงเรียบว่า
“ข้าไม่ได้ตัดสินคนคนหนึ่งด้วยพละกำลัง ในสายตาข้า เจ้าเป็นเพียงคนบาปที่ทำร้ายอาจารย์ของข้าเท่านั้นเหมือนกับที่อาจารย์เยว่อิ่งไม่ปฏิบัติกับข้าแตกต่างออกไป เพียงเพราะระดับพลังยุทธ์ ในสายตานาง ข้าเป็นลูกศิษย์ของนาง”
อ้านเย่ “…”
ดวงตาคู่นั้นของนางค่อยๆ หม่นลง แววตาฉายความโดดเดี่ยวที่สังเกตได้ยากเสี้ยวหนึ่ง
อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เงื้อกระบี่พิชิตมารขึ้นแล้วตวัดฟันลงไป
ร่างของราชินีอ้านเย่แหลกสลายเป็นผุยผงภายใต้กระบี่เล่มนี้ จางหายไปในอากาศ
ตราสีดำบนหน้าผากของอันหลินก็เริ่มเลือนราง
เขาคว้าแหวนมิติของอ้านเย่ไว้หมับ จากนั้นก็มาถึงหน้าอุโมงค์ดำสนิทภายในก้าวเดียว
“นี่คนจะเป็นอุโมงค์ของเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ เสียดาย หากมีเวลามากพอคงจะลองเข้าไปได้…”
อันหลินจ้องอุโมงค์แล้วปล่อยหมัดออกไป
ครืน…
อุโมงค์ถูกหมัดของเขาสะเทือนจนปริแตก สุดท้ายก็เริ่มพังทลาย
“จบแล้ว…”
อันหลินพึมพำ ตราสีดำบนหน้าผากของเขาก็อันตรธานหายไป
เพียงชั่วพริบตา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังทั้งหมด ร่างกายอ่อนปวกเปียก ความเหนื่อยล้ามหาศาลเข้าจู่โจม
จากนั้น เขาก็หน้ามืด หมดสติล้มลงไป
พวกสวีเสี่ยวหลานพุ่งไปหาอันหลิน พยุงเขาลุกขึ้นอย่างร้อนใจ
เมื่อแน่ใจว่าสัญญาณชีพของเขาปกติแล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ยังดีที่ครั้งนี้เขาไม่ระเบิด…”
สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินอย่างหวาดผวา ความกังวลบนใบหน้าคลายลงบ้างแล้ว
ภาพระเบิดอันน่าสยดสยองหลังใช้ดรรชนีวิถีสวรรค์ บัดนี้ยังจำได้ขึ้นใจ
หากว่าอันหลินระเบิดจริง พวกเขาก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ…
“อันหลินสร้างปาฏิหาริย์อีกแล้ว! ชะตาชีวิตช่างเป็นสิ่งที่วิเศษเหลือเกิน!”
เซียนพสุธามิ่งหยวนที่รอดพ้นวิกฤตมองอันหลิน ใบหน้ามีแต่ความตะลึงและพึงพอใจ
ทุกครั้งที่ไม่ว่าลูกศิษย์คนนี้จะทำอะไร ความเข้าใจที่เขามีต่อโชคชะตาจะแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
บางทีหากประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกสักสองสามครั้ง เขาอาจจะทะลวงเข้าสู่ระดับหวนสู่ความว่างเปล่าก็เป็นได้
สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตคือ ชั่วขณะที่ตราสีดำบนหน้าผากของอันหลินหายไปนั้น
บางอย่างที่อยู่เหนือวัตถุ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์แห่งมรรค หลุดออกจากร่างกายของเขา
ทะลุออกจากแดนมนุษย์ เข้าสู่แดนบรรพกาล
นอกแดนบรรพกาล อาณาเขตศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยปีศาจร้ายทุกหย่อมหญ้า
หญิงร่างคนหางงูลืมตาขึ้น ในดวงตาแฝงเร้นด้วยดาราจักร
จู่ๆ ก้อนหินเจ็ดสีในมือของนางก็ส่องแสงสว่างไสว ขัดเกลาปีศาจร้ายในรัศมีร้อยลี้ให้บริสุทธิ์
“การปะชุนผืนฟ้าเริ่มแล้ว…ท่าทางข้าต้องเร่งมือ”
หญิงสาวขี่เมฆสีรุ้ง เมื่อร่างกะพริบ ก็มุ่งหน้าไปยังที่ซึ่งไกลกว่าแดนบรรพกาล
…

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม