บทที่ 131 โอวาทจากมหายาน หากชาติหน้ามีวาสนาอีก
เมื่อมาถึงใต้ต้นฝูซัง หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่ามู่หรงฉี่กลับมาแล้ว เขาเข้าฌานอยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางดูราวครุ่นคิดอย่างหนัก
ไก่คุกรัตติกาลกำลังงีบหลับอยู่บนต้นไม้ หยางเทียนตงกำลังฝึกฝน สวินฉางอันนั่งอยู่ริมหน้าผา กำลังมองดูท้องฟ้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร แผ่นหลังของเขาดูเศร้าโศก
หานเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น บนท้องนภายังคงมีพระอาทิตย์สามดวง
อีกาทองคำสองตัวนั้นเข้ามาไม่ได้ แต่ทว่าไม่ยอมจากไป ช่างดื้อดึงเสียจริงๆ
เมื่อเห็นหานเจวี๋ยเดินเข้ามา มู่หรงฉี่ก็รีบลุกขึ้นคารวะอย่างรวดเร็ว
หานเจวี๋ยพยักหน้าลงเล็กน้อย
มู่หรงฉี่ถลาเข้าไปหา เอ่ยถามอย่างประหม่าว่า “อาจารย์ปู่ ข้าขอคำชี้แนะจากท่านได้หรือไม่”
“ชี้แนะอะไร”
“ใต้หล้านี้มีมากมายหลายมรรค มรรคสายใดก็แข็งแกร่งที่สุดหรือ มรรคกระบี่หรือไม่”
“ไม่มีมรรคใดที่แข็งแกร่งที่สุด มีเพียงผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งที่สุด”
“อาจารย์ปู่ ข้ารู้สึกว่าข้าดูเหมือนจะไม่เหมาะกับมรรคกระบี่”
มู่หรงฉี่สีหน้าเป็นกังวล ช่วงนี้เขามักออกไปทำภารกิจต่างๆ ที่ด้านนอก เขาพบว่าพลังการต่อสู้ของตนไม่เหมือนกับเหล่าบุตรแห่งสวรรค์ในตำนานที่ข้ามขั้นออกไปสู้ศึกได้ แม้กระทั่งเขารู้สึกเพียงว่าตนนั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไป
หานเจวี๋ยถามอย่างเรียบนิ่งว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเหมาะกับมรรคใด”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
“เช่นนั้นก็ไปเรียนรู้ ในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มีวิชาเวทหลายแขนง รอเมื่อเจ้าค้นพบวิชาเวทที่เหมาะกับตัวเองค่อยมาหาข้าอีกครั้ง ข้าจะชี้แนะเจ้าด้วยตัวเอง”
“ขอบคุณอาจารย์ปู่!”
มู่หรงฉี่ปีติยินดี รีบร้อนคารวะและจากไปในทันที
หานเจวี๋ยเคลื่อนสายตาหันไปมองต้นฝูซัง ยามนี้ต้นฝูซังสูงใหญ่มากแล้ว เถาน้ำเต้าพิภพเซียนบนต้นเองก็เติบโตได้ดีเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะออกดอกออกผล
หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยก็กลับเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทานอีกครั้ง เริ่มฝึกวิชาวัฏจักรหกวิถีพลังภายในระดับเก้า!
…..
หนึ่งปีต่อมา
ภายในตำหนักขนาดใหญ่และกว้างขวางนั้น ผู้บำเพ็ญสายหลักนับหมื่นคนยังคงฝึกปฏิบัติอยู่
ไอมารกลุ่มหนึ่งลอยตลบอบอวลอยู่ภายในตำหนัก คอยกัดเซาะพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญสายหลักอยู่ตลอดเวลา เหล่าผู้บำเพ็ญทำได้เพียงฝึกฝน ต่อต้านอย่างขันแข็ง และทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
สิงหงเสวียนและเซียนซีเสวียนก็ฝึกบำเพ็ญอยู่เช่นเดียวกัน
เวลาส่วนใหญ่ เหล่าผู้บำเพ็ญล้วนไม่สื่อสารกัน ราวกับกำลังปิดด่านกักตนอย่างไรอย่างนั้น
ครืนน
จู่ๆ ประตูของตำหนักใหญ่ก็เปิดออก เงาร่างที่แข็งแกร่งเงาหนึ่งปรากฏขึ้น เขาก็คืออรหันต์มารละโมบนั่นเอง
อรหันต์มารละโมบกวาดสายตามองเหล่าผู้บำเพ็ญภายในตำหนัก ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ “พวกเจ้ายังมีเวลาอีกครึ่งปี หากยินดีที่จะเข้าร่วมสายมาร ก็สามารถรายงานกับผู้บำเพ็ญสายมารที่ด้านนอกตำหนักได้ตลอดเวลา ครึ่งปีหลังจากนั้น จะเป็นพิธีอันเชิญมาร พวกที่ไม่ยอมจำนนที่เหลือล้วนจะต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยแก่มารแท้!”
เมื่อทิ้งถ้อยคำเหล่านี้ไว้ อรหันต์มารละโมบจึงหมุนตัวจากไป
“ช้าก่อน! ข้ายินยอมเป็นผู้บำเพ็ญสายมาร!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้นเสียงดัง ลุกขึ้นยืนด้วยร่างสั่นเทา
ผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบๆ ต่างพากันสาดสายตาโกรธเคืองไปทางเขา
หนึ่งในนั้นชักกระบี่ออกมา หมายจะสังหารชายวัยกลางคนผู้นั้น
ไอมารสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ สกัดกั้นกระบี่ของเขาที่ลอยออกไป ก่อนจะห่อหุ้มร่างของชายวัยกลางคนเอาไว้
สีหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็ไม่อาจทานทน
“ข้าก็ยินยอมเข้าร่วมสายมาร!”
“ข้าก็ด้วย!”
“ขอผู้อาวุโสโปรดปกป้องพวกเราด้วย!”
“ข้ายังไม่อยากตาย ขออภัยทุกท่าน!”
“สหายเต๋าทุกท่าน พวกเราพยายามกันอย่างเต็มที่แล้ว แต่มันกลับไม่เป็นผล!”
เหล่าผู้บำเพ็ญพากันหยัดกายลุกขึ้นยืนมากขึ้นเรื่อยๆ
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็ดวงตาเป็นประกาย รู้สึกกระสับกระส่ายไม่อยู่นิ่ง
นักพรตเต๋าจิ่วติ่งกล่าวเสียงขรึมว่า “ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ของข้าต้องตายอย่างมีเกียรติเท่านั้น มิจำเป็นต้องยอมแพ้ให้แก่มาร!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าลูกศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ก็มองหน้าสบตากัน ไม่มีผู้ใดลุกขึ้นแม้แต่คนเดียว
สิงหงเสวียนส่งเสียงเรียกเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ทว่าหานเจวี๋ยกลับไม่ตอบรับ นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมา
ในสถานการณ์เช่นนี้ หานเจวี๋ยคงไม่สามารถช่วยพวกเขาได้
ถึงแม้หานเจวี๋ยจะเดินทางมาด้วยตนเอง แต่เขาไม่อาจข้ามเขาข้ามทะเลมาที่นี่ภายในระยะเวลาอันสั้นได้
จำต้องรู้ว่าพวกเขาใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...