บทที่ 227 ตระกูลโม่สำเร็จมรรคขึ้นสวรรค์ พุทธะอาภรณ์ขาว
ตั้งแต่ซูฉีเข้าร่วมกับวังเทพ หานเจวี๋ยก็คอยดูการแสดงออกของเขา
ทว่าวังเทพไม่ใช่หมู่เกาะเซียนมังกร ซูฉีอยากจะอาศัยโชคร้ายทำลายสังหารวังเทพก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้กระทั่งพูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้
หากซูฉีทำลายได้แม้กระทั่งวังเทพ เช่นนั้นคงไม่ใช่ดาวตัวซวยแล้ว
นั่นคือมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต สามารถทำให้มรรคาสวรรค์ล้มล้างชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้ได้!
วันเวลาผันผ่านไปอย่างต่อเนื่อง
หานเจวี๋ยอายุใกล้จะสองพันปี ตบะก็พัฒนาไปสู่ระดับเซียนทองวัฏจักรระยะปลาย
สามสิบปีต่อมา
หานเจวี๋ยที่กำลังฝึกฝนอยู่ก็ถูกอู้เต้าเจี้ยนเรียกให้ตื่นขึ้น
“นายท่าน มีสหายเก่าสองท่านมาเยี่ยม”
หานเจวี๋ยลืมตา กวาดพลังจิตออกไป พบว่าโม่จู๋และโม่ฟู่โฉวกลับมาแล้ว
ยามนี้ทั้งสองมีตบะอยู่ในระดับมหายาน
ผู้บำเพ็ญระดับมหายานที่มีอายุประมาณสองพันปี ก็นับว่าเป็นบุตรแห่งสวรรค์เช่นกัน
หานเจวี๋ยกล่าว “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ เจ้าไปรอด้านนอก”
อู้เต้าเจี้ยนพยักหน้า จากนั้นก็ออกไปต้อนรับ
ไม่นานโม่ฟู่โฉวและโม่จู๋ก็เข้ามาในถ้ำเทวา
โม่จู๋ไม่ได้มาเป็นครั้งแรก แต่ยังมีความรู้สึกว่าสรรพสิ่งยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป
นางมองหานเจวี๋ยด้วยแววตาซับซ้อน
โม่ฟู่โฉวยิ้มกล่าวขึ้นก่อน “สหายหาน ไม่เจอกันนาน”
ได้พบเจอหานเจวี๋ยอีกครั้ง ในใจของโม่ฟู่โฉวรู้สึกปลงอนิจจังไปร้อยแปดพันเก้า
หานเจวี๋ยพยักหน้าลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นการยากมากที่พวกเจ้าจะยอมกลับมา มีเรื่องอันใดหรือ”
โม่ฟู่โฉวกล่าว “พวกเราพี่น้องเตรียมที่จะขึ้นสวรรค์แล้ว คนตระกูลโม่หวังให้พวกเราไปยังสวรรค์เบื้องบนเพื่อหาผู้อาวุโสในแต่ละยุคที่สำเร็จมรรคาขึ้นสววรรค์ไป ชื่อเสียงของตระกูลโม่ในโลกมนุษย์เหม็นโฉ่ไปหมดแล้ว ไม่อาจยืนมั่นได้”
ตั้งแต่วังสวรรค์มาโจมตี ฝ่ายมารในโลกเมฆาแดงก็ถูกผู้คนโจมตี จำนวนของผู้บำเพ็ญสายมารลดลงเป็นอย่างมาก ต่างไม่กล้าออกมาเดินในใต้หล้าอย่างเปิดเผย
เมื่อรู้ว่าทั้งสองจะขึ้นสวรรค์ หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก
ทั้งสามเริ่มพูดคุยถึงเรื่องที่ผ่านมา และประสบการณ์ในหลายปีมานี้
หานเจวี๋ยมุมานะฝึกฝนมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าพูด ส่วนมากจะฟังเสียมากกว่า
ผ่านไปหลายชั่วยาม โม่ฟู่โฉวจากไป ปล่อยให้โม่จู๋อยู่กับหานเจวี๋ยตามลำพัง
“ที่จริงข้าไม่อยากขึ้นสวรรค์ แต่ตระกูลต้องการให้ข้ากับพี่ใหญ่ช่วยส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น เขาคนเดียวยากที่จะยืนมั่นได้” โม่จู๋ทอดถอนใจกล่าว
นางสืบทอดมรดกของโม่โยวหลิงและประมุขตระกูลแต่ละยุคในอดีต โม่ฟู่โฉวก็ได้รับมรดกของเผ่ามาร ผู้สืบทอดตระกูลโม่ที่แท้จริงก็คือนาง
หานเจวี๋ยกล่าว “ตระกูลโม่สำคัญกับเจ้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
โม่จู๋กล่าว “ข้าแบกรับความเกลียดชังมาแต่เด็กจนยึดติดไปแล้ว ก็เหมือนกับที่ท่านอยากจะเป็นอมตะ”
หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ
นี่ก็คือเหตุผลที่เขาไม่ใช้อำนาจห้ามปรามโม่จู๋
ใช่ว่าบุรุษจะมีชีวิตอยู่เพื่อสตรีทั้งหมด สตรีเองก็เช่นกัน
หานเจวี๋ยไม่อาจเป็นเช่นในนิยาย ที่ให้สตรีทั้งหลายติดอยู่ข้างกายตัวเองทุกวัน ทุกทิวาราตรี พันปีหมื่นปี
ความรู้สึกและความรักไม่ใช่การแสวงหาชั่วนิจนิรันดร์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญพรต หากผู้บำเพ็ญพรตมีชีวิตอยู่เพื่อความรักเพียงอย่างเดียว แล้วจะฝึกฝนไปเพื่อเหตุใด
“แดนเซียนอันตรายยิ่งนัก เมื่อถึงเวลาต้องระวังให้มาก” หานเจวี๋ยกำชับ
โม่จู๋พยักหน้า แก้มของนางแดงขึ้นในฉับพลัน ก่อนจะก้มหน้าลงไป
ในใจของหานเจวี๋ยรู้อย่างชัดเจน แต่ปากถามออกไปด้วยความฉงน “เป็นอะไรหรือ”
“ข้า…ก่อนไปข้าไม่อยากทิ้งความเสียใจเอาไว้”
“เสียใจอะไร”
“ท่านยังจะถามอีก!”
โม่จู๋กล่าวด้วยความโกรธเคือง หูของนางแดงไปหมดแล้ว
หานเจวี๋ย “ช่างเถอะ เจ้ามาเถอะ ข้าคล้อยตามเจ้า”
……
หลายเดือนต่อมา โม่จู๋จากไป หลังจากหาโม่ฟู่โฉวที่อยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์พบแล้ว ทั้งสองก็จากไป
หานเจวี๋ยไม่ได้ไปส่ง พิธีรีตองเพื่อเอาหน้าเหล่านี้ไม่จำเป็น
อู้เต้าเจี้ยนเดินเข้ามาในถ้ำเทวา นางถามปากยื่นว่า “นายท่าน เหตุใดบนตัวแม่นางผู้นั้นถึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของท่าน ในร่างกายก็มี!”
หานเจวี๋ยเกือบจะตกเตียง
คำถามนี้…
หานเจวี๋ยถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ทั้งวันเจ้ามัวแต่คิดสิ่งใดอยู่! พวกเรากำลังถกมรรคกันอยู่หรือ ข้าถ่ายทอดพลังภายในให้นาง ใช้พลังเวทกระตุ้นการโคจรพลังวิญญาณของนาง”
“จริงหรือ”
“แน่นอน!”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงไม่สอนข้าเช่นนี้บ้าง”
“เจ้าคู่ควรหรือ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...