สรุปตอน บทที่ 301 ต้นไม้เทพเกิดปัญญา เรื่องราวของสำนักพุทธ – จากเรื่อง ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ โดย Internet
ตอน บทที่ 301 ต้นไม้เทพเกิดปัญญา เรื่องราวของสำนักพุทธ ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 301 ต้นไม้เทพเกิดปัญญา เรื่องราวของสำนักพุทธ
ผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด?
หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว หรือว่ามีศัตรูทรงพลังมาบุกรุกอีกแล้ว
ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของศัตรูที่แข็งแกร่งเลย
เขาเลือกที่จะตรวจสอบในทันที
[ต้นฝูซัง: ระดับเซียนลึกล้ำไท่อี่ระยะต้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาล บรรจุกฎเกณฑ์พื้นที่และเวลา หลังจากผ่านการปลูกฝังจักรพรรดิเซียนเป็นเวลาหลายปี ดูดซับจิตวิญญาณโลกาสวรรค์ ปราณหยินหยาง ในที่สุดจิตวิญญาณก็เจริญปัญญา]
ที่แท้ก็เป็นเป็นต้นฝูซังนี่เอง!
หานเจวี๋ยตกใจ คิดว่าจะมีศัตรูมาบุกโจมตี
สามารถกลายเป็นผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดในระหว่างการตั้งค่าระบบได้ จะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คืออย่างน้อยต้นฝูซังก็มีคุณสมบัติของจักรพรรดิเซียน!
เขารีบไปยังด้านหน้าของต้นฝูซังทันที เจ้าใหญ่ เจ้ารองและไก่คุกรัตติกาลที่ยังคงบำเพ็ญตบะบนต้นไม้กลับไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของต้นฝูซังด้วยซ้ำ
หานเจวี๋ยส่งพลังจิตเข้าไปสำรวจภายในต้นฝูซังและสื่อสารกับต้นฝูซัง
ต้นฝูซังรู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหานเจวี๋ย
อย่างไรเสียก็เป็นต้นไม้เทพบรรพกาลที่ทรงพลัง ในกระบวนการของการบำรุงฟูมฟักปัญญาทางจิตวิญญาณ ต้นไม้ได้เข้าใจภาษาของสรรพสิ่ง และสามารถสื่อสารกับผู้คนได้
หลังจากสื่อสารกันพักหนึ่ง ต้นฝูซังก็จดจำหานเจวี๋ยเป็นเจ้าของ และไม่ได้ขัดขวางใดๆ
ต้นฝูซังไม่สามารถแปลงกายได้ในทันที มันจำเป็นต้องบรรลุขอบเขตพลังที่สูงมากกว่านี้ถึงจะสามารถแปลงกายได้
“เอาล่ะ เจ้ากล่าวทักทายทุกคนสิ”
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็พลันยิ้มเอ่ยขึ้นมา ทำให้ทุกคนพลันตื่นตกใจ
ใคร?
บรรดาศิษย์ทั้งหลายสับสนงุนงง มองไปรอบๆ ด้วยความแปลกใจ
เห็นเพียงต้นฝูซังที่เริ่มสั่นโคลง ส่งเสียงเสียงราวกับเด็กทารกออกมา “สวัสดีทุกคน ข้าคือต้นฝูซัง ภายหน้าโปรดดูแลและชี้แนะด้วย…ส่วนผู้ที่อยู่บนต้นก็อย่าได้นอนอยู่บนตัวข้าอีกเลย”
ไก่คุกรัตติกาล เจ้าใหญ่และเจ้ารองต่างสะดุ้งตกใจ ค่อยๆ พากันกระโจนออกไปทีละคน
“ต้นฝูซังเกิดสติปัญญาแล้วหรือ” โจวหมิงเยวี่ยอุทานขึ้น
สวินฉางอันนิ่งสงบมาก ราวกับว่าคาดเดาได้ตั้งแต่แรก
คนอื่นๆ ต่างพากันรุมล้อมเข้ามา ไถ่ถามกันชุลมุนวุ่นวาย
หานเจวี๋ยไม่ได้เข้าร่วมอีก แต่กลับไปฝึกบำเพ็ญต่อภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน
การที่ต้นฝูซังเกิดปัญญานั้นเป็นเรื่องดี ถึงแม้มันจะยังไม่ได้แปลงกาย แต่อย่างน้อยหลังจากนี้ก็สามารถปกป้องเกาะสำนักซ่อนเร้นได้
ชั่วขณะหนึ่ง เกาะสำนักซ่อนเร้นก็กลับมามีครึกครื้นอีกครั้ง
หลังจากที่หานเจวี๋ยฝึกบำเพ็ญเป็นเวลาห้าปี เขาก็กระโจนออกมาจากยมโลก มุ่งหน้าไปรับผู้ทรงพลังเหล่านั้นที่พุทธะอาภรณ์ขาวติดต่อมา
ห้วงอากาศว่างเปล่าที่โลกเขย่าพิภพตั้งอยู่ก่อนหน้านี้ถูกเขาลงตราประทับหกวิถีเอาไว้ ทำให้ง่ายต่อการค้นหาเป็นอย่างมาก
ในห้วงอากาศว่างเปล่า มีผู้ฝึกบำเพ็ญนับพันคนมารวมตัวกัน ทั้งหมดล้วนลงมาจากแดนเซียน พวกเขาแต่ละคนต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“เหตุใดเทพในโลกมนุษย์ยังไม่มาอีก”
“จิ๊ๆ คิดไม่ถึงว่าจะย้ายโลกาสวรรค์ฝ่ายหนึ่งออกไปจริงๆ”
“เซียนเมฆาแดงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ”
“ไม่ใช่เซียนเมฆาแดงหรอก เซียนเมฆาแดงสลายไปนานแล้ว ตอนนี้เป็นเทพในโลกมนุษย์คนใหม่ ลึกลับมากเชียวล่ะ”
“เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยว่าคนรุ่นเราจะประสบกับมหาเคราะห์ไร้ขอบเขต โชคไม่ดีเลยจริงๆ!”
เหล่าผู้บำเพ็ญพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปมา อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับหานเจวี๋ยเป็นอย่างมาก
ผ่านไปเนิ่นนาน
ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ปรากฏกายขึ้น คราแรกกลุ่มคนไม่ได้สนใจในตัวเขา ยังคงคิดว่าเหมือนกันกับพวกเขาทั่วไป
หานเจวี๋ยจำต้องแสดงอานุภาพสง่างามของจักรพรรดิเซียนออกมา กดดันห้วงอากาศว่างเปล่า ทุกคนถึงได้พากันหันหน้ามองมาทางเขา
“มีใครอีกหรือไม่”
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม สายตากวาดมองเหล่าผู้บำเพ็ญในที่แห่งนี้
ตบะที่สูงที่สุดเพิ่งจะอยู่แค่เซียนลึกล้ำไท่อี่ ไม่มีแม้กระทั่งเซียนทองไท่อี่สักคน
ในใจของหานเจวี๋ยรู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เดิมทีเซียนทองไท่อี่ก็ยากที่จะบรรลุได้ หากอยู่ในวังสวรรค์ล้วนสามารถเรียกตัวกลับมาใช้งานใหม่ได้
ไม่มีใครตอบหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยก็คร้านที่จะรออีกต่อไป เขาโบกแขนเสื้อพาผู้คนกว่าพันคนเข้าสู่โลกเขย่าพิภพทันที โดยที่มีพุทธะอาภรณ์ขาวมารอรับ
เขาหันกายแล้วเดินออกไป
หลังจากออกจากเกาะสำนักซ่อนเร้นแล้ว หานเจวี๋ยก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก คิดอยากจะรีบออกไปให้เร็วสักหน่อย
“ช้าก่อน!”
หานเจวี๋ยลอบด่าทอขึ้น จากนั้นไม่นานก็พลันเกิดความคิดที่อาจหาญอย่างหนึ่งขึ้นมา
โอกาสดี!
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เล่าเรื่องที่นี่คงไม่ดีหรอกกระมัง ข้ากลัวว่าจะถูกคนได้ยินเข้า ก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้น”
เจียงอี้เลิกคิ้ว สีหน้าแสดงความยินดี เขาก็อยากจะฟังเรื่องราวที่เป็นความจริง
เขารีบหยิบหยกสมปรารถนาออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วโยนมันขึ้นเหนือศีรษะ หยกสมปรารถนาเปล่งประกายลำแสงออกมา ปกคลุมร่างของคนทั้งสอง
หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิแล้ว เอ่ยปากเล่าว่า “ตำนานเล่าขานกันว่าผานกู่เปิดฟ้าแล้วแปลงกายเป็นอุทกภัย แต่ด้านนอกของอุทกภัยนั้น ความจริงแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ พวกเขาถูกเรียกว่าเทพมารฟ้าบุพกาล ยามที่อุทกภัยกำลังขยายตัวเป็นวงกว้าง เทพมารฟ้าบุพกาลก็ได้สังเกตการณ์มาโดยตลอด แต่จนปัญญาที่มรรคาสวรรค์ปิดกั้นพวกเขาไว้ภายนอก ทำให้พวกเขาไม่สามารถบุกน้ำที่ทะลักทลายเหล่านั้นได้ พร้อมกับมหาเคราะห์ไร้ขอบเขตที่ปะทุขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อุทกภัยถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเทพมารฟ้าบุพกาลก็สบโอกาส
หนึ่งในเทพมารพบโอกาสที่จะลอบเข้าไปในอุทกภัยนั้น ครอบครองกายเนื้อของพระพุทธองค์ของนิกายตะวันตกองค์หนึ่ง เขาซ่อนสถานะตัวตนเอาไว้โดยตลอดเพื่อที่จะทำให้ตนเองคุ้นชินกับกายเนื้อของพระพุทธองค์…”
เจียงอี้ขมวดคิ้ว นี่กำลังพูดถึงเรื่องของสำนักพุทธอยู่หรือ
เรื่องของจิตมารสำนักพุทธไม่ใช่ความลับ เพียงแต่แดนเซียนล้วนเชื่อว่าจิตมารนั้นเป็นวิธีเผด็จการที่สำนักพุทธใช้ควบคุมศิษย์ของตน
หรือว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
หานเจวี๋ยยังคงสร้างเรื่องราวต่อไป
“มหาเคราะห์ไร้ขอบเขตได้ปะทุขึ้น ปวงสวรรค์ก็อยู่ในสงครามโกลาหล สำนักพุทธมักลงมือในยามที่ผู้อื่นเดือดร้อน ดูเหมือนจะทำไปเพื่อความสงบสุขของสรรพสิ่งบนโลก แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น ทำให้เคราะห์หนักยิ่งเกิดความวุ่นวาย”
หานเจวี๋ยยิ่งเล่าก็ยิ่งเข้าถึงอารมณ์ จนแทบจะหยุดไม่ได้
“ในที่สุดสำนักพุทธก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ กลายเป็นผู้ปกครองเผด็จการกอบกู้สรรพสิ่งใต้หล้า ดวงชะตามรรคาสวรรค์ทั้งหมดกลับคืนสู่เทพมารฟ้าบุพกาลผู้นั้น เขาใช้พลังเวทเปิดกำแพงกั้นมรรคาสวรรค์ นำเทพมารฟ้าบุพกาลจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าบุกอุทกภัย สรรพชีวิตมอดดับ”
หลังจากหานเจวี๋ยเล่าจบ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นเรื่องราวที่สมมติขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง เจ้าแค่ฟังเอาสนุกก็พอ”
เจียงอี้แค่นเสียงเอ่ยว่า “ไม่สนุกเลย ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับเผ่าเทพอีกาทองของข้าตรงไหน”
“เผ่าเทพอีกาทองสงบเสงี่ยมเกินไป เรื่องราวที่เลื่องลือในโลกมนุษย์มีไม่มากนัก”
“เฮอะ”
“เอาเถิด พอเท่านี้แล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน เรื่องนี้เจ้าเพียงแค่ฟัง อย่าได้เอาไปแพร่งพรายเด็ดขาด ป้องกันไม่ให้ผู้ใดกล่าวได้ว่าข้าใส่ความสำนักพุทธ”
“เข้าใจแล้ว”
เจียงอี้โบกมืออย่างเหลืออด หานเจวี๋ยจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากหานเจวี๋ยจากไปแล้ว สีหน้าของเจียงอี้ก็มืดทะมึนตามมา
……………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...