บทที่ 707 ฟ้าบุพกาลในระดับที่สูงกว่า
หานเจวี๋ยมองข้อความที่เด้งขึ้นมาตรงหน้าอย่างกะทันหัน อดตะลึงไม่ได้
ผานกู่…
คนผู้นี้ยังไม่ตายจริงๆ ด้วย!
หานเจวี๋ยหวั่นวิตกขึ้นมาทันที รีบเรียกจอค่าความสัมพันธ์ออกมา เสาะหาผานกู่
รูปประจำตัวของผานกู่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง เชิดหน้าทรงอำนาจ หน้าตาดุดัน แววตาเปี่ยมด้วยพลังน่าหวาดหวั่น เรือนผมดำขลับปล่อยสยายยุ่งเหยิง ลักษณะท่าทางดูโบราณเป็นอย่างยิ่ง
[ผานกู่: ไม่ทราบตบะ เทพมารฟ้าบุพกาล ผู้บุกเบิกมรรคาสวรรค์ บรรพบุรุษของสรรพสิ่ง ผู้กวาดล้างเทพมาร เนื่องจากท่านตัดเจตจำนงควบคุมที่เขาทิ้งไว้ในตัวผานซิน จึงเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 1 ดาว]
ฉายาฟ้าประทานช่างมากมายนัก!
หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ไม่ทราบตบะของผานกู่ แปลว่าแข็งแกร่งกว่าเขาแน่นอน ส่วนจะแกร่งกว่าแค่ไหน ตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้แน่ชัด
ถึงอย่างไรตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่มีทางต่อกรกับผานกู่ได้
บุ่มบ่ามไปเสียแล้ว
ไม่ควรสยบทาสผานซินเช่นนี้เลยจริงๆ ควรทำให้เขาเป็นหุ่นเชิดไปอย่างสมบูรณ์ ก็แค่สิ้นเปลืองความคิดไปนิดหน่อยเท่านั้น
เวลานี้เองผานซินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเขามองเห็นหานเจวี๋ย เขาก็ลุกขึ้นมา คุกเข่าคารวะ
หานเจวี๋ยถาม “เจ้าเคยพบผานกู่หรือไม่”
ผานซินเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยความแปลกใจ “เทพยักษาผานกู่ดับสูญไปนานแล้ว ข้าจะเคยพบเขาได้อย่างไร แม้แต่ในมรดกที่รับสืบทอดจากเขา ข้าก็เห็นเพียงเงาร่างของเขาเท่านั้น ไม่เห็นตัวจริงของเขา”
หานเจวี๋ยตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ผานกู่อยู่ที่ไหนกันแน่
เขาใช้ความสามารถวิวัฒนาการทำนายดู
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ค่าตัวเทียบเท่าระดับผู้สร้างมรรคา เท่ากับค่าตัวของจอมเทrฟ้าบุพกาล!
ดำเนินการต่อ!
ข้อความแถวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย
[ไม่สามารถทำนายถึงพิกัดที่แน่ชัดของผานกู่ได้ ขณะนี้เขาไม่ได้อยู่ในสถานะ ‘มีชีวิตอยู่’]
ตายแล้ว แต่ยังไม่ตายอย่างสมบูรณ์เช่นนั้นหรือ
เขาถามในใจต่อว่า ‘ตอนนี้ผานซินสามารถคุกคามข้าได้หรือไม่’
[ไม่ได้]
ครั้งนี้กลับไม่ถูกหักอายุขัย
หานเจวี๋ยโล่งใจแล้ว
ดูเหมือนผานกู่จะตายไปแล้วจริงๆ แต่ยังอยู่ในสภาวะเจตจำนงรูปแบบหนึ่งที่อริยะมหามรรคล้วนยากจะเข้าใจได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอเพียงตอนนี้ผานกู่ยังคุกคามหานเจวี๋ยไม่ได้ก็พอแล้ว
หานเจวี๋ยมองผานซินอีกครั้ง
ผานซินคุกเข่าอย่างนอบน้อมยิ่ง ราวกับทาสในเรือน
หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ผู้ใดเป็นพี่ชาย ผู้ใดเป็นน้องเล็กกันเล่า”
ผานซินผงะไป เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ท่านคือพี่ชาย ข้าคือน้องเล็กขอรับ ท่านอยากเรียกอย่างไรข้าล้วนยินดีทั้งสิ้น”
หานเจวี๋ยลอบภูมิใจ ใครใช้ให้เจ้ามาวางท่าต่อหน้าข้ากัน
เขาเองก็ไม่ได้กลั่นแกล้งอีกฝ่ายมากเกินไป กลับกันทำเช่นนั้นจะดูเสียมาด ดีร้ายอย่างไรผานซินก็เป็นอริยะเสรี สมควรไว้หน้าบ้าง
“พอกลับไปแล้วอย่าได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา เจ้าเคยทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นต่อไป แต่ห้ามช่วยเหลือดวงจิตมหามรรค วันหน้าต้องยึดมรรคาสวรรค์เป็นหลัก ห้ามคิดหาทางดึงดูดตัวตนใดๆ ในฟ้าบุพกาลเข้าสู่มรรคาสวรรค์ เข้าใจหรือไม่” หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับ
ผานซินได้ฟังก็พยักหน้ารับ
จากนั้นหานเจวี๋ยก็เอ่ยกำชับอีกสองสามประโยค ถึงได้โบกมือ ส่งเขาไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
เมื่อผานซินมาถึงหน้าตำหนักผานกู่ มหาจักรพรรดิเซียวและจิ้นเสินพลันปรากฏกายขึ้นมา
เมื่อสองอริยะเห็นผานซินปรากฏตัวขึ้น ต่างก็พากันโล่งอก
ก่อนหน้านี้เรื่องที่ผานซินเชิญหานเจวี๋ยมาเป็นแขกล้วนอยู่ในสายตาของเหล่าอริยชน แต่ต่อมากลิ่นอายของทั้งสองคนหายไป น่าประหลาดอย่างยิ่ง
มหาจักรพรรดิเซียวและจิ้นเสินต่างทราบถึงกิตติศัพท์การต่อสู้อันน่าหวาดหวั่นเหล่านั้นของหานเจวี๋ย ความหวาดกลัวหยั่งรากฝังลึก ทำให้พวกเขาไม่มั่นใจตัวผานซินอยู่บ้าง
ตอนนี้เมื่อเห็นผานซินกลับมา ความหวั่นวิตกในใจของสองอริยะพลันสลายหายไปดั่งหมอกควัน
“เหตุใดผ่านไปนานขนาดนี้ถึงเพิ่งกลับมาเล่า” จิ้นเสินถาม
ผานซินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แค่แปดพันปีเท่านั้น นับว่านานหรือ ข้าเพียงสนทนาธรรมกับสหายเต๋าหานเท่านั้น”
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในตำหนักผานกู่
สองอริยะตามหลังเข้าไป
อีกด้านหนึ่ง
ภายในตำหนักเอกภพ
จอมอริยะเสวียนตูมองฉากที่เพิ่งเกิดขึ้น ตกอยู่ในห้วงความคิด
เขารู้สึกผิดปกติ ผานซินเปลี่ยนไปอยู่บ้าง!
พอเขานึกย้อนดูให้ดีๆ ดูเหมือนอริยะที่หายไปกับหานเจวี๋ยชั่วระยะหนึ่ง หลังจากกลับมาล้วนเปลี่ยนไปกลายเป็นเคารพให้เกียรติหานเจวี๋ยอย่างยิ่ง เชื่อฟังคำพูด หรือว่าผานซินก็จะเป็นเช่นนี้ด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...