บทที่ 710 ความแข็งแกร่งของอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง
หานเจวี๋ยจ้องมองจอมอริยะเสวียนตู ถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “เช่นนั้นสหายเต๋าเสวียนตูคาดหวังให้เป็นการจัดการของข้าหรือไม่เล่า”
เขาไหนเลยจะฟังความหมายแฝงของจอมอริยะเสวียนตูไม่ออก
หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาต้องกริ่งเกรงแน่ แต่ตอนนี้เขาเป็นอริยะมหามรรคแล้ว ใช่ว่าจะสู้เหล่าจื่อไม่ได้
อีกอย่างขอเพียงไม่เคยเห็นคุกสวรรค์อนธการด้วยตาตนเองมาก่อน อย่างมากจอมอริยะเสวียนตูก็คงคิดว่าหานเจวี๋ยใช้วิธีการบางอย่างเพื่อข่มขวัญบีบบังคับเท่านั้น
ดวงตาสองคู่ประสานกัน จอมอริยะเสวียนตูพลันหนาวสันหลังขึ้นมา
แย่แล้ว
ตนเลินเล่อไปเสียแล้ว
ถึงแม้เขาและหานเจวี๋ยจะมีไมตรีต่อกัน พูดคุยเป็นมิตรกลมเกลียว แต่ก็เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
ทันทีที่ทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกถึงอันตราย คนผู้นี้ต้องลงมือสังหารแน่!
จอมอริยะเสวียนตูรีบเอ่ยว่า “ข้าเพียงถามไปเรื่อยเท่านั้น หากล่วงเกินไป สหายเต๋าหานอย่าได้ถือสาเลย”
หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าเสวียนตูไม่จำเป็นต้องกังวล ถึงอย่างไรพวกเราก็หวังดีต่อมรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น มิใช่หรือ”
จอมอริยะเสวียนตูรีบคว้าโอกาสไว้ทันที เอ่ยเห็นพ้องว่า “ถูกต้อง มรรคาสวรรค์เป็นเป้าหมายที่พวกเราให้ความสำคัญที่สุด”
หานเจวี๋ยเลือนหายไปจากตำหนัก
หลังจากจอมอริยะเสวียนตูแน่ใจว่าหานเจวี๋ยจากไปแล้วจริงๆ ถึงได้ถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง
ในใจเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่อครู่นี้ประมาทไปจริงๆ
‘ข้าควรจะรักษาท่าทีเช่นแต่ก่อนเอาไว้ ขอเพียงหานเจวี๋ยช่วยเหลือมรรคาสวรรค์ได้ ไยข้าต้องไปสืบหาความลับของเขาด้วยเล่า’
หลังจากจอมอริยะเสวียนตูคิดตกแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจดั่งปลดภาระหนักอึ้งทิ้ง
เขารู้สึกว่ามรรคจิตของตนเกิดปัญหาแล้ว ความเห็นแก่ตัวกำลังเหิมเกริมลำพอง นี่มิใช่เรื่องดีเลย
เขาเริ่มนั่งสมาธิท่องปรัชญา ขัดเกลามรรคจิต
“มรรคคือมรรค มรรคไร้รูปรอย…”
….
หลังกลับถึงอารามเต๋า หานเจวี๋ยหยิบศิลาก่อวิญญาณออกมา เริ่มคัดเลือกปราณเทพมาร
หลังจากทบทวนไปมา เขาตัดสินใจสร้างเทพมารกายา
อืม ตัวละครสายแท็งค์ต้องชุบเลี้ยงขึ้นโดยเร็ว วันหน้าต้องเป็นด่านแรกของกองทัพเทพมารได้แน่ ไม่ควรล้าหลังหย่อนยาน
หลังจากผสานศิลาก่อวิญญาณเข้ากับปราณวิญญาณก่อเป็นสังขารเทพมารขึ้นมา หานเจวี๋ยก็มาที่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ปล่อยเทพมารข้ามภพและเทพมารหมอกเลือนออกมา
เทพมารทั้งสองตนล้วนแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว ดูโหดเหี้ยมน่ากลัว แต่ความจริงยังมีสติปัญญาเท่าเด็กเล็กๆ
หานเจวี๋ยเรียกมู่หรงฉี่มารับตัวไป
มู่หรงฉี่ที่กลายเป็นเทพมารตนแรกสุดสำเร็จเป็นครึ่งอริยะแล้ว จิ้งจอกชาดที่เป็นตัวแทนของเทพมารโอฬารก็เป็นเช่นเดียวกัน
เทพมารขุนพลสวรรค์ก็สำเร็จเป็นครึ่งอริยะแล้วเช่นกัน ทั้งยังแข็งแกร่งกว่ามู่หรงฉี่และจิ้งจอกชาดด้วยซ้ำ
ตอนนี้อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองมีอริยะอย่างต้าซั่นเทียน มีครึ่งอริยะสี่ตนและมีเซียนทองต้าหลัวอีกสี่ตน
ครึ่งอริยะคือมู่หรงฉี่ จิ้งจอกชาด เทพมารขุนพลสวรรค์และกวนปู้ไป้
เซียนทองต้าหลัวได้แก่เทพมารกาลเวลา เทพมารข้ามภพ เทพมารหมอกเลือนและหานมิ่ง
หยางตู๋เพิ่งบรรลุถึงระดับเทพได้ไม่นาน ยังคงอยู่ห่างไกลจากครึ่งอริยะ ต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานยิ่งกว่าจะได้เปลี่ยนสายเลือดเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล
ทั้งยังมีต่งจั๋วองครักษ์อาณาเขตเต๋าที่คัดลอกขึ้นจากอริยะหลี่มู่อีด้วย!
หากตัดองครักษ์อาณาเขตเต๋าออกไป อันที่จริงตอนนี้อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองแข็งแกร่งกว่าอาณาเขตเต๋าหลักแล้ว อาณาเขตเต๋าหลักแค่มีจำนวนศิษย์มากกว่าเท่านั้น ครึ่งอริยะมีน้อยนิด ส่วนอริยะยิ่งไม่มีเลย
หานเจวี๋ยพอใจยิ่งนักที่เป็นเช่นนี้ ต้องการซ่อนกองกำลังอันแข็งแกร่งที่สุดไว้ในที่ลับ เมื่อถึงเวลาจำเป็นค่อยลงมือโจมตีตอนที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว
การมาถึงของเทพมารข้ามภพและเทพมารหมอกเลือนทำให้อาณาเขตเต๋าแห่งที่สองคึกคักขึ้นมา เหล่าเทพมารตนอื่นๆ ที่กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่พากันออกมาต้อนรับ
หานเจวี๋ยกลับมาอาณาเขตเต๋าหลัก ฝึกบำเพ็ญต่อ
เพื่อกำราบผานซิน ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเขาไม่ได้ปิดด่านครบห้าพันปีอย่างสมบูรณ์เต็มที่ จึงรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
ต้องเร่งกระบวนการให้ครบห้าพันปี!
ทำให้มรรคจิตมั่นคง!
….
แปดร้อยเจ็ดสิบสามปีต่อมา
ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญอยู่นั่น พลันมีข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาเบื้องหน้า
[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น รู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง
มาขัดขวางการบำเพ็ญของข้าอีกแล้ว!
แต่อีกฝ่ายคือจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย หานเจวี๋ยจึงไม่สะดวกจะใส่อารมณ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ
รอดสักทีนะหวงจุนเทียน...
สงสารหวงจุนเทียน.......
จะได้เห็นพิสูจน์เทพผู้สร้างไหมหนอ...
จะไม่กลับมาจริง ๆ เหรอ...