มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2676

ทันทีที่หลู่ปู้เหว่ยพูดเช่นนี้ออกมา ทำให้ทุกคนในภูเขาว่านเริ่นหันมองเขาด้วยความโกรธทันที

“ดูเหมือนว่าจักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์จะไม่ได้มาเข้าร่วมพิธี แต่มาเพื่อหาเรื่องอย่างนั้นหรือ ?”

สีหน้าของลวี่โหลวเองก็ฉาบไปด้วยน้ำค้างแข็ง นางหันมองหลัวซิวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หลังจากเห็นหลัวซิวพยักหน้าแล้ว แรงอาฆาตที่รุนแรง ก็พุ่งตรงออกมาจากดวงตาคู่งามของนางทันที

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้จักรพรรดิสวรรค์เทวพยัคฆ์ก็คงไม่ต้องกลับไปอีกแล้ว !”

ในขณะที่พูดเช่นนี้ ลวี่โหลวก็ลงมือทันที นางยกมือแล้วแทงออกไปทันที ปราณกระบี่ทำงาน ทำลายทั้งภูเขาและแม่น้ำจนไร้สีสัน !

“ไม่ยอมใช้อาวุธเทพขั้นเก้า อาศัยเพียงเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอกนะ”

หลู่ปู้เหว่ยส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ ส่งวิชาตราประทับออกไปจากมือทั้งสองข้าง ราวกับเขาเทวลูกใหญ่ที่กดทับลงมา

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ถึงแม้วิชาตราประทับของหลู่ปู้เหว่ยจะรับมือปราณกระบี่ได้ แต่กลับสัมผัสได้ถึงเลือดปราณภายในร่างกายที่สั่นสะเทือนไม่รู้จบ และแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

เทพมารระดับแปดขั้นสูงและขั้นกลางนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ความสามารถระดับลวี่โหลว สามารถเอาชนะเทพมารระดับแปดช่วงปลายอย่างเจ้าสำนักมังกรฟ้าได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงแล้ว แต่นี่ กลับสามารถต่อกรกับตนเองซึ่งเป็นถึงเทพมารระดับแปดขั้นสูง ความสามารถของนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

ถึงแม้จะอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดเช่นเดียวกัน แต่หลู่ปู้เหว่ยก็รู้ดีว่าลวี่โหลวประมุขเขาผู้นี้อายุยังน้อย ระยะเวลาในการฝึกตนยังไม่ถึงครั้งหนึ่งของตนเองด้วยซ้ำ ถ้าหากอายุเพียงเท่านี้ก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว วันหน้าอาจเป็นที่หนึ่งในแดนเทพมารระดับเก้าก็เป็นได้ ?

ลวี่โหลวไม่ได้ใช้พลังของหอคอยเทพนิรยวิภา แต่กลับอาศัยความแข็งแกร่งของผลการฝึกตนของตนเอง ในการต่อสู้กลางอากาศกับหลู่ปู้เหว่ยกว่าสิบกระบวนท่า ทั้งสองต่างกันถึงสองแดนเล็ก แต่กลับต่อสู้กันอย่างสูสี

“วิชาขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้า ?”

แววตาของหลู่ปู้เหว่ยเป็นประกาย ในสถานการณ์ที่มีผลการฝึกตนเป็นรองตนเองอยู่ถึงสองแดน แต่ยังสามารถประมือกับตนเองได้เช่นนี้ ก็พอจะทำให้มองออกแล้วว่า ระดับวิชาที่ลวี่โหลวฝึกตนนั้น สูงกว่าตนเองอย่างมากแน่นอน

ต่อให้เป็นวิชาขั้นมกุฎเทพระดับเก้า ก็ไม่มีทางมีผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า น่าจะเป็นวิชาขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้าแล้ว !

วิชาในระดับนี้ อย่าว่าแต่สำนักเซียนต้าโหลวของพวกเขาเลย แม้แต่ผู้สืบทอดในระดับแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากก็ยังไม่มี !

ในบรรดาศิษย์จำนวนมากของภูเขาว่านเริ่น หลัวซิวยืนอยู่ด้านหน้าสุด เขาเงยหน้ามองการต่อสู้บนท้องฟ้าอย่างสงบ และเกิดคำถามขึ้นว่า คนอย่างหลู่ปู้เหว่ยคุ้มค่าแก่การมองหรือ

วิชาที่เขาถ่ายทอดให้กับลวี่โหลว ไม่ใช่วิชาขั้นจักรพรรดิเทพระดับเก้าเท่านั้น แต่เป็นวิชาขั้นมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ที่เหมาะสมกับพรสวรรค์ส่วนตัวของนางมากที่สุดต่างหาก !

อย่าว่าแต่วิชาขั้นมหาจักรพรรดิยุทธิ์ระดับเก้าเลย ต่อให้เป็นวิชาขั้นผู้สูงส่ง หลัวซิวเองก็มี นั่นคือวิชาที่เขาใช้ฝึกตนในภพไท่ซ่างฉิงก่อนหน้า

เพียงแต่ ของประเภทวิชาพลังอมตะ ใช่ว่ายิ่งแข็งแกร่งจะยิ่งดี แต่ต้องเหมาะสมกับตนเองต่างหาก จึงจะดีที่สุด

วิชาที่เขาฝึกในชาติก่อนไม่เหมาะสมกับลวี่โหลว มิเช่นนั้นเขาคงถ่ายทอดให้นานแล้ว ส่วนคนที่เหมาะจะฝึกวิชาในชาติก่อนนั้น ข้างกายของเขามีเพียงแค่คนเดียวก็คือหลี่ยู่ !

หลี่ยู่และเย่ห้าวหรานเรียกได้ว่าเป็นชาติภพหนึ่งของเขา แต่ก็ไม่นับว่าใช่ เพราะคนในทั้งสองภพนี้ เมิ่งเชียนชางจงใจจัดวางเอาไว้ เพื่อให้เศษวิญญาณที่เหลืออยู่ของเขา วนเวียนในวัฏจักรเพื่อล้างความทรงจำและเหตุผลต่าง ๆ ในภพไท่ซ่างฉิง

ถือได้ว่าหลัวซิวฝากความหวังครั้งใหญ่ไว้กับหลี่ยู่ ในชาติไท่ซ่างฉิง เขาไม่อาจบรรลุจุดสูงสุดของโลกยุทธ์ได้ ไม่แน่ว่าในชาตินี้ อาจอาศัยหลี่ยู่เพื่อก้าวเดินไปถึงแดนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้

การต่อสู้กลางอากาศเข้มข้นยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านตัวสำนึกวิญญาณ หรือด้านการกลั่นร่างเนื้อ ลวี่โหลวก็ไม่แสดงความบกพร่องและจุดอ่อนออกมาแม้แต่น้อย หลังจากการต่อสู้ดำนินไปอย่างยาวนาน กลับกลายเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงกว่าอย่างหลู่ปู้เหว่ยที่เริ่มตกเป็นรอง และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อย ๆ ก้าวไปสู้ความแพ้พ่าย

สิ่งนี้ทำให้หลู่ปู้เหว่ยตกใจจนหน้าถอดสี สีหน้าของเขาดูย่ำแย่เหลือประมาณ เขาก้าวถอยหลังไปทันที และตะโกนออกมาอย่างเย็นชาว่า : “ให้ข้าได้เห็นมรดกของภูเขาว่านเริ่นของพวกเจ้าหน่อยเถิด !”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น หลู่ปู้เหว่ยก็เสกกล่องสมบัติออกมาหนึ่งกล่อง ในกล่องสมบัติมีแสงเทวเคลื่อนไหวเข้าออก มีมือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากด้านใน และระเบิดพลานุภาพอันกว้างใหญ่ที่แข็งแกร่งจนยากจะเปรียบได้

ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดอย่างลวี่โหลว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลานุภาพอันกว้างใหญ่เช่นนี้ ก็ต้องรู้สึกกดดันเช่นกัน ราวกับมีภูเขาสูงเสียดฟ้ามากดทับอยู่ที่หัวใจ จนทำให้นางรู้สึกอยากกระอักเลือดออกมา

“มรดก ! สำนักเซียนต้าโหลวก็อัญเชิญมรดกออกมาแล้ว !”

คนของกองกำลังต่าง ๆ ที่เดินทางมาภูเขาว่านเริ่นเพื่อร่วมพิธี ต่างค่อย ๆ ถอยหนีออกไป ไม่มีใครกล้าอยู่ในภูเขาว่านเริ่นต่ออีก สำนักเซียนต้าโหลวถึงขนาดอัญเชิญมรดกออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการต่อสู้กับภูเขาว่านเริ่นให้รู้แพ้รู้ชนะ พวกเขาจึงไม่อยากพลอยติดร่างแหไปด้วย

สิ่งที่เรียกว่ามรดก ก็คือวิธีการที่สำนักตระกูลใช้ปกป้องผู้สืบทอด อย่างเช่นอาจารย์ปู่ในระดับเทพมารระดับเก้า ก็ถือเป็นมรดกอย่างหนึ่ง สมบัติอาวุธเทพระดับเก้าเอง ก็ถือเป็นมรดก !

นี่คือกล่อมสมบัติ เห็นได้ชัดว่าเป็นสมบัติอาวุธเทพระดับเก้าชิ้นหนึ่ง หลู่ปู้เหว่ยกล้ามาที่ภูเขาว่านเริ่นตามลำพัง ย่อมเตรียมวิธีรับมือกับหอคอยเทพนิรยวิภาเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว

เมื่อมีกล่อมสมบัตินี้มาช่วยสกัดหอคอยเทพนิรยวิภา อาศัยผลการฝึดตนที่แข็งแกร่งกว่าลวี่โหลวถึงสองแดน ย่อมปราบปรามภูเขาว่านเริ่นได้อย่างแน่นอน

เพียงแต่ สิ่งที่หลู่ปู้เหว่ยและสำนักเซียวต้าโหลวที่คอยหนุนหลังเขาอยู่ไม่รู้ก็คือ ถึงแม้ผลการฝึกตนของลวี่โหลวจะด้อยกว่าเขา แต่ความสามารถกลับไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด ถึงขั้นว่าอาจเหนือกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ

“ก็แค่อาวุธเทพระดับเก้ากระจอก ๆ เท่านั้น” หลัวซิวไม่คิดเช่นนั้น ความสามารถของลวี่โหลวแข็งแกร่งกว่าหลู่ปู้เหว่ยเล็กน้อย ซ้ำหอคอยเทพนิรยวิภายังเป็นถึงอาวุธเทพระดับเก้า หลู่ปู้เหว่ยกล้ามาอวดเบ่งที่ภูเขาว่านเริ่นเช่นนี้ เท่ากับมารนหาที่ตายชัด ๆ

“เปรี้ยง !”

ลวี่โหลวร่ายวิชา หอคอยเทวที่ลอยอยู่เหนือภูเขาว่านเริ่น ก็เปล่งรัศมีเทวออกมารัศมีเทวพุ่งตรงออกมาทีละเส้น ๆ และกลายเป็นปราณกระบี่ ฟาดไปยังมือใหญ่ที่ยื่นออกมาจากกล่องสมบัติ

ชิ้ง ! ชิ้ง ! ชิ้ง !......

เมื่อปราณกระบี่ตัดเข้าไปที่มือใหญ่ ก็เกิดประกายไฟออกมา ถึงแม้ไม่อาจตัดมือใหญ่จนกลายเป็นผุยผงได้ แต่ก็ระงับการเคลื่อนไหวของมือใหญ่ได้ และทำให้มันไม่สามารถตกลงมาบนภูเขาว่านเริ่นได้

“เรื่องในวันนี้ สำนักเซียนต้าโหลวของเรา ไม่ยอมปล่อยให้จบลงง่าย ๆ อย่างแน่นอน !”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ