มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 3209

“ที่นี่ก็คือโลกเซียนหรือ?”

หลังจากก้าวขึ้นสู่สะพานทะยานเซียน หลัวซิวและราชาเซียนนี่ล่วนก็ปรากฏในแดนต้องห้ามกระดูกฝังพร้อมกัน

ออร่าความตายที่ไร้ขอบเขตตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ราชาเซียนนี่ล่วนขมวดคิ้วลงอย่างอดไม่ได้

เนื่องจากเกณฑ์ฟ้าดินที่ไม่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนของโลกามนุษย์ ผลการฝึกตนของราชาเซียนนี่ล่วนจึงยังคงอยู่ระดับราชาเซียนเหมือนเคย แต่ทว่าหลังจากมาถึงโลกเซียน เนื่องจากเขาสั่งสมรากฐานไว้อย่างแน่นหนา ผลการฝึกตนจึงเพิ่มขึ้นได้เร็วมากจนเหลือเชื่อ

“ที่นี่คือแดนต้องห้ามแห่งหนึ่งของโลกเซียน”

หลัวซิวอธิบาย แต่ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดความเป็นมาที่เกี่ยวข้องกับแดนต้องห้ามกระดูกฝัง เพราะนี่คือหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

ค่ายกลสะพานทะยานเทียนในอดีตที่ถูกทำลายไปฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว แดนต้องห้ามกระดูกฝังของโลกเซียนในปัจจุบันได้เชื่อมต่อกับฟ้าดินตรีภพของโลกามนุษย์

เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนขัดขืนคำสั่งของเขาวาร์ปมายังโลกเซียน หลัวซิวจึงทำการทิ้งค่ายกลต้องห้ามไว้ตรงทางเข้าของสะพานทะยานเซียนในฟ้าดินตรีภพ

แน่นอนอยู่แล้วว่าหากมีคนสามารถฝึกถึงแดนราชาเซียน เช่นนั้นก็สามารถใช้พลังอำนาจทลายตัวต้องห้ามของเขา แล้วใช้สะพานทะยานเซียนเพื่อมุ่งมาสู่โลกเซียนได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

แต่ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้น หลัวซิวไม่อยากให้พวกเขาเอาตัวเองมาเสี่ยงในโลกเซียน เนื่องจากแม้แต่ตัวเขาเองที่เคลื่อนไหวอยู่ในโลกเซียนก็ต้องระมัดระวังเช่นกัน

มีหลัวซิวอยู่ที่นี่ด้วย ราชาเซียนนี่ล่วนจึงไม่มีทางเจอภยันตรายใด ๆ ในแดนต้องห้ามกระดูกฝังอยู่แล้ว

ในขณะเดียวกันเนื่องจากมีคนนอกอยู่ด้วย ดังนั้นหลงอ้าวจวินก็ไม่ปรากฏตัวเช่นกัน แต่เป็นการมองดูเขาและราชาเซียนนี่ล่วนออกไปจากเขตพื้นที่ของแดนต้องห้ามกระดูกฝัง

“ข้าสัมผัสออร่าที่มีจุดกำเนิดเดียวกับยุคโบราณก่อนได้แล้ว”

หลังจากเดินออกมาจากแดนต้องห้ามกระดูกฝัง ราชาเซียนนี่ล่วนก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา อย่างไรเสียเขาก็ถูกปิดผนึกอยู่ในโลกคุกเซียนมายาวนานอย่างไม่รู้จบแล้ว จึงมีความรู้สึกเหมือนได้หวนคืนสู่บ้านเกิด

“สหายหลัว ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการ ทั้งยังพาข้าเข้ามาในโลกเซียนด้วย”

หลังจากความรู้สึกตื่นเต้นดีใจหายไป ราชาเซียนนี่ล่วนก็มองไปทางหลัวซิว ประสานมือทำท่าคารวะพลางพูดด้วยความเคารพ

“ผู้อาวุโสเกรงใจเกินไปแล้ว ในเมื่อเมื่อปีนั้นผู้น้อยได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แล้ว ย่อมไม่มีทางคืนคำอยู่แล้ว”หลัวซิวประสานมือคารวะกลับ

“ในเมื่อข้าเรียกเจ้าว่าสหายหลัว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสหรอก แม้นข้าจักถือเป็นคนโบราณในยุคโบราณก่อน แต่ถ้าเกิดพูดถึงกาลเวลาในการฝึกตนแล้ว ก็แค่ห้าร้อยกว่าปีเท่านั้น”

ราชาเซียนนี่ล่วนส่ายหน้า “หากเจ้าไม่รังเกียจข้า ต่อไปเราก็เรียกแทนกันว่าสหายเถิด ข้าชื่อซุนเจิน”

ในเมื่อราชาเซียนนี่ล่วนพูดเช่นนี้แล้ว หลัวซิวก็ย่อมไม่มีทางงอแงไร้เหตุผลอยู่แล้ว ก่อนจะประสานมือพลางพูด: “สหายซุน ไม่ทราบว่าเจ้ามีแผนการอะไรหรือไม่?”

“ข้าวางแผนที่จะหาสถานที่ปิดขัง ภายในระยะเวลาอันสั้นบางทีผลการฝึกตนของข้าอาจจะสามารถก้าวรุดไปข้างหน้าได้ในรวดเดียว”ซุนเจินตอบเช่นนี้ เขาถูกกปิดผนึกมาอย่างยาวนาน จึงตั้งตารอคอยต่อการเลื่อนขั้นหลังจากสั่งสมรากฐานมาอย่างยาวนาน

ดังนั้นหลัวซิวและซุนเจินจึงบอกลากัน เขาเชื่อว่าหลังจากกาลเวลาผ่านพ้นไปอีกยาวนาน ซุนเจินต้องเจิดจรัสอย่างแน่นอน

อย่างไรเสียตั้งแต่โบราณกาลมา อัจฉริยะที่สามารถฝึกตนถึงแดนราชาเซียนได้ในระยะเวลาห้าร้อยปีนั้น ก็เป็นบุคคลที่หาพบได้ยากมาก ๆ!

หลัวซิวก็วางแผนที่จะตามหาสถานที่เพื่อศึกษาวิจัยเตาเซียนที่ผุพังนั่นเช่นกัน จักรพรรดิเซียนในสนามรบฮวงกู่ส่งเขาออกมา ทั้งยังมอบเตาเซียนนั่นให้ด้วย เขามักจะรู้สึกว่าภายในเรื่องนี้ต้องมีนัยยะแฝงที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่แน่นอน

แล้วก็ป้ายบัญชาการ​​หยกเซียนชิ้นนั้นอีก ดูจากวัสดุของตัวป้ายบัญชาการ เหมือนจะแตกต่างจากเตาเซียนอยู่ แต่ทว่าธาตุแท้แก่นสารกลับเป็นเช่นเดียวกัน ทั้งสองต่างเป็นสมบัติที่กลั่นมาจากแหล่งเซียนระดับเดียวกัน

มีพลังของจิตอสูรปิดผนึกอยู่ในป้ายบัญชาการ​​หยกเซียน เตาเซียนก็คล้ายกับเป็นภัณฑ์จักรพรรดิมรรคผลของจักรพรรดิเซียนอีก ไม่ว่าจะเป็นชิ้นใด ก็ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

เวลาล่วงเลยไปหลายปี เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับตัวเองผ่านพ้นไปแล้วหรือยัง แต่เมื่อลองนึกดูแล้วมันน่าจะไม่มีทางจบลงง่าย ๆ อย่างไรเสียสำหรับเซียนที่มีอายุขัยยาวนานแล้ว อย่าว่าแต่เวลานับร้อยพันปีเลย แม้นมาตรเป็นกาลเวลานับหมื่นปี นั่นก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น

ระหว่างเขาและภูเขาภูตศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตไปแล้ว เทพบุตรยุคโบราณก่อนที่กลายเป็นเฒ่าประหลาดในชนเผ่าดึกดำบรรพ์ก็เกลียดแค้นเขาอย่างยิ่ง

ในยุคบรรพกาล เผ่าไท่ซ่างเคยปกครองใต้หล้า เมื่อมาถึงยุคโบราณกาล เผ่าไท่ซ่างก็เริ่มเสื่อมทรุด กระทั่งยุคโบราณก่อนก็มีทายาทของเผ่าไท่ซ่างปรากฏน้อยมาก ๆ แล้ว

นับตั้งแต่ไท่ซ่างอวี้จวินเป็นต้นมา ทั้งโลกเซียนก็ไม่มีข่าวคราวของเผ่าไท่ซ่างเลย และไม่เคยปรากฏอีกเลยแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ