เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาก็ออกไปตามหานับหนึ่งตามหอพัก ตามมหาลัยต่างๆ
ในขณะนั้นเอง อยู่ๆก็มีผู้ปกครองของเพื่อนนับหนึ่งคนหนึ่งทักถามเข้ามาในกลุ่มด้วยความเป็นห่วง
" คุณแม่ น้องนับหนึ่งกลับมาถึงบ้านหรือยังคะ "
รานีเปิดอ่านข้อความปุ๊บก็ตกใจ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานตัวเองไม่ได้ตอบกลับในกลุ่ม
" อุ๊ย ตายละ เกือบทำให้คนสงสัยแล้วมั้ยล่ะ นังนับหนึ่งนะนังนับหนึ่ง หาเรื่องเดือดร้อนให้ฉันจนได้ อย่าให้เจอตัวแล้วกันนะ "
รานีบ่นงึมงำคนเดียวด้วยความโกรธจัด จากนั้นแกก็พิมพ์ตอบกลับในกลุ่มว่า
( ค่ะ น้องกลับมาแล้ว ขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านที่ให้ความร่วมมือนะคะ )
( ด้วยความยินดีค่ะ เข้าใจหัวอกของคนเป็นผู้ปกครองด้วยกันค่ะ )
แล้วรานีก็ส่งรูปอีโมจิขอบคุณไปเป็นการจบสนทนาในกลุ่ม จากนั้นแกก็ขับรถออกตามหานับหนึ่งต่อ
เมืองที่เป็นเขตปกครองพิเศษมันไม่ได้ทำให้ตามหาคนง่ายขนาดนั้น
บางมหาลัยก็บางหอพักก็เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของนักศึกษา ไม่ง่ายเลยที่ธำรงกับรานีจะตามหานับหนึ่งเจอ
สองอาทิตย์ต่อมา........
นับหนึ่งหอบเงินในกระเป๋านั่งรถไปยังมหาลัยเพื่อไปขอจ่ายค่าเทอมล่วงหน้า
พอไปถึงมหาลัย เธอก็แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ของมหาลัย แล้วทำเรื่องจ่ายค่าเทอมรวดทั้งสี่ปี
แต่ด้วยค่าเทอมของมหาลัยที่เธอเรียนอยู่ค่อนข้างแพง เธอเลยเหลือเงินติดตัวมาแค่แสนเดียว
พอกลับมาถึงหอก็รีบไปจ่ายค่าหออีกสามหมื่นหกพันบาท(ครบปี) เธอมองดูเงินในมือของตัวเองแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองในใจ
[ เฮ้อ เงินแสนเงินล้านหมดไปในพริบตาเดียว แล้วจะพอใช้มั้ยเนี่ย ]
แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา
[ ช่างเหอะ แค่มีที่เรียน ที่พักอาศัยก็พอแล้ว เดี๋ยวค่อยไปหางานทำระหว่างเรียน
อดมื้อกินมื้อบ้าง จะเป็นไรไป ที่ผ่านมาลำบากกว่านี้ยังผ่านมาได้เลยหนิเรา ]
เธอเดินมาเข้ามาในห้อง แล้วไปอาบน้ำเสร็จก็มานั่งทานข้าวในห้องคนเดียวอย่างเงียบๆ
พอตกดึกเธอก็นอนคุยกับรูปของแม่พร้อมกับเอ่ยพึมพำกับแม่ด้วยความคณึงหา
" คุณแม่คะ หนูคิดถึงคุณแม่จังเลยค่ะ วันนี้หนูอยากจะบอกแม่ว่า
ไม่ต้องเป็นห่วงหนูแล้วนะคะ หนูโตแล้วสามารถดูแลตัวเองและเอาตัวรอดได้แล้ว
ตอนนี้ หนูก็ออกมาใช้ชีวิตคนเดียวอย่างมีความสุขแล้ว คุณแม่หลับให้สบายเลยนะคะ รักแม่ค่ะ "
เอ่ยจบเธอก็จุ๊บรูปแม่เบาๆแล้ววางลงใต้หมอนแล้วเธอก็หลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น นับหนึ่งก็เดินทางไปเปิดบัญชีที่ธนาคาร เสร็จแล้วก็ไปซื้อโทรศัพท์แบบปุ่มกดธรรมดา ในราคาเครื่องละหนึ่งพันบาท เพื่อเอาไว้ใช้ในการติดต่อเพื่อนกับอาจารย์ระหว่างเรียน
หลังจากนั้น เธอก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยความมัธยัสถ์ อยู่ในสถานที่พักอาศัยแห่งใหม่โดยไม่ต้องเป็นทาสรับใช้หรือก้มหัวให้ใครอีก
ทางด้านรานีกับธำรงก็วุ่นกับการตามหานับหนึ่งด้วยความเครียดจัด จนมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง
เมื่อถึงวันที่ต้องส่งตัวนับหนึ่งไปให้เจ้านายที่โรงแรม พวกเขาทั้งสองต่างก็นั่งหน้าเครียดกุมขมับอยู่ในห้องรับแขกทั้งวัน
สุดท้ายธำรงก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับภรรยาอย่างอับจนหนทางที่จะแก้ไขปัญหาด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา
" คุณ...ผมว่า...นับหนึ่งคงไม่กลับมาแล้ว เรายกเลิกเรื่องที่จะส่งผู้หญิงไปให้เจ้านายผมเถอะนะ ผมจะลาออกแล้วค่อยไปหางานใหม่ก็ได้ "
รานีเงยหน้ามองสามีอย่างไม่พอใจแล้วเอ่ยเสียงแข็งด้วยความโมโห
" สมองคุณคิดได้แค่นี้เหรอ ลาออกแล้วคุณจะไปสมัครงานที่ไหน จะมีบริษัทไหนกล้ารับคุณเข้าทำงาน คุณคิดบ้างมั้ย
แล้วคุณคิดว่าเจ้านายคุณจะยอมปล่อยพวกเราไปง่ายๆเหรอ
มันหลงหลงลูกสาวสุดที่รักของคุณอย่างกับอะไรดี อยู่ๆไปบอกขอยกเลิก นั่นไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือไง "
" แล้วคุณจะแก้ปัญหายังไง ในเมื่อนับหนึ่งก็หนีหายไปแล้ว เราจะส่งใครไปแทนนับหนึ่งล่ะ "
ธำรงขึ้นเสียงใส่ภรรยาเล็กน้อยอย่างหมดความอดทน
ในขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของรานีก็ดังขึ้น แกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นรูปลูกโชว์ขึ้นมาบนหน้าจอ
เหมือนแกจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงกดรับสายแล้วเอ่ยเสียงหวาน
" ฮัลโหล ลูก "
อิงฟ้าที่อยู่ปลายสายพอได้ยินเสียงผู้เป็นแม่ เธอก็เอ่ยสั่งทันที
" คุณแม่คะ วันนี้หนูจะกลับไปนอนบ้านนะคะ ให้นังนับหนึ่งไปทำความสะอาดห้องให้หนูด้วย อย่าให้มีไรฝุ่นหลงเหลือล่ะ "
อิงฟ้าเอ่ยเสียงห้วนอย่างทะนงตนทำราวกับนับหนึ่งเป็นคนใช้อย่างเคยชิน
รานียิ้มด้วยความดีใจพร้อมกับเอ่ยตอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงหวานอย่างเอาใจ
" ได้ซิคะลูก นานๆทีลูกสาวแม่กลับมา เดี๋ยวแม่จะไปทำความสะอาดห้องให้จนสะอาดใสวิ้งค์เลยจ้ะ "
ตอนนี้รานีมีแผนในใจแล้วว่าจะให้ใครไปแทนนับหนึ่ง
อิงฟ้าได้ยินแม่พูดว่าจะไปทำความสะอาดให้ด้วยตนเองแบบนั้น เธอก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
" คุณแม่จะไปทำความสะอาดเองทำไมคะ ทำไมไม่ใช้นังนับหนึ่งทำ
" สรุปแล้วเขาก็ไม่ได้หลงนับหนึ่งแบบรักใคร่เลย แต่มองนับหนึ่งเป็นแค่สินค้าชิ้นหนึ่ง แบบนั้นก็สมควรแล้วที่นับหนึ่งจะหนีไป "
" นี่คุณกล้าพูดว่าดีแล้วได้ยังไง ห๊ะ เรากำลังจะเดือดร้อนตายเพราะลูกสาวคุณนะ คุณยังจะเข้าข้างมันอีกเหรอ "
รานี้รู้สึกโกรธแค้นมากที่นับหนึ่งหนีไป
ธำรงรู้สึกผิดหวังในตัวรานีมาก ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นธาตุแท้ของภรรยาที่เขารักมาตลอดจนมองข้ามรรินทร์ไป
" ผมเป็นพ่อก็ต้องเข้าข้างลูกสิ ถึงจะถูก ที่ผ่านมาคุณกับอิงฟ้า มีเงิน มีรถ ใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายได้ ก็เพราะนับหนึ่งนะ
แม้กระทั่งผมที่เป็นพ่อที่มีหน้าที่การงานที่ดีได้ ก็เพราะการเสียสละของเธอเช่นกัน แล้วพวกเราล่ะ เคยตอบแทนอะไรเธอบ้างมั้ย "
" เราก็เลี้ยงดูมันไง เลี้ยงจนมันโตเป็นสาว มันก็สมควรที่จะตอบแทนเรามั้ย มีอะไรให้น่ารู้สึกผิดกัน "
คำพูดของรานีทำให้ผู้เป็นสามีโกรธมาก
" คุณไม่รู้สึกผิด เพราะคุณไม่ใช่แม่ของเธอไง แต่ผมเป็นพ่อของเธอ ผมรู้สึกผิดที่ต้องส่งลูกไปขายตัวแบบนั้น
ต่อไปคุณจะทำยังไงก็เชิญ ผมไม่สนใจแล้ว แม้ผมต้องตกงาน ต้องอดตาย หรือต้องหนีจนไร้ที่ซุกหัวนอนผมก็ยอม
ในเมื่อนับหนึ่งไม่อยู่แล้วผมก็ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้อีก หากคุณแก้ปัญหาไม่ได้ ก็บอกความจริงไป มันจะได้จบๆ "
ธำรงเอ่ยอย่างหมดความอดทนด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างเด็ดขาด รานีโกรธจนร้องให้แล้วเอ่ยถามขึ้น
" หากบอกความจริงไป แล้วเรื่องนี้เจ้านายคุณจะให้มันจบลงยังไง หากเกิดอะไรขึ้น คุณไม่สงสารฉันกับลูกเหรอ! "
" จบยังไงผมไม่สน ผมรู้แค่ว่าเราต้องยอมรับความจริง เพราะที่ผ่านมาเราละโมภเอง จะไปโทษใครได้ ก็ต้องโทษตัวเองสิ! "
ธำรงตวาดเสียงใส่ภรรยาด้วยความเดือดดาลแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้อง
หย่อนกายลงนั่งบนเตียง ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา
ตอนที่ยังหนุ่ม เขาได้เจอกับรานีที่เป็นพนักงานธนาคาร
ในตอนนั้นรานีรู้ว่าเขามีภรรยาแล้วแต่ก็ยังรับได้และอ่อยเขาไม่เลิก
จนทำให้เขานอกใจรรินทร์แม่ของนับหนึ่งจนรานีตั้งท้องแล้วมีอิงฟ้าก่อน
ตอนนี้เขาเพิ่งตาสว่าง เห็นธาตุแท้ เห็นด้านไม่ดีของรานี นึกเสียดายรรินทร์ที่จากไปและรู้สึกผิดกับเธอมาก
การหนีไปของนับหนึ่งทำให้เขารู้ว่า นับหนึ่งไม่เคยมีความสุขเลย ที่ผ่านมาเธอแค่ไม่พูดเท่านั้นเอง
นึกถึงวันที่ลูกสาวเอาเอกสารมาให้เขาเซ็นแล้ว ทำให้รู้ว่า นับหนึ่งวางแผนที่จะหนีอย่างรอบคอบโดยไม่คิดจะกลับมาหาเขาอีกเลย
[ นี่ลูกคงเฝ้ารอวันที่ลูกบรรลุนิติภาวะมานานแล้วใช่มั้ย พ่อขอโทษนะนับหนึ่ง ขอโทษที่ละเลยลูกมาตลอด พ่อทำผิดต่อลูกไว้มากจริงๆ พ่อขอโทษ ]
แกนั่งก้มหน้าร้องให้ออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจคิดถึงคนที่จากไป ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ริษยาร้ายซ่อนรัก