พอรถของบอสธีร์เคลื่อนเข้าไปจอดหน้าหอพัก นับหนึ่งจึงหันไปยกมือไหว้เขาที่อุตส่าห์มาส่งถึงหอพร้อมกับเอ่ยขอบคุณจากใจ
" ขอบคุณที่มาส่งค่ะ สุขสันต์วันเกิดนะคะ "
เธอขอบคุณพร้อมกับอวยพรให้เขา จากนั้นก็หันหน้ากลับมาทางประตูรถพร้อมกับยื่นมือออกไปจะเปิดประตูลงไป
" นับหนึ่ง "
ธีร์จ้องหน้าเธออย่างเงียบๆแล้วเอ่ยเรียกชื่อเธอเสียงอ่อน ก่อนที่เธอจะเปิดประตู
มือเรียวเล็กที่กำลังจะเปิดประตูหยุดก็ชะงักลงแล้วหันไปมองคนเรียกด้วยความสงสัยพร้อมกับเอ่ย
" คะ? "
" ต่อไปคุณไม่ต้องยกมือไหว้ผมแล้วได้มั้ย มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนว่า ตัวเองแก่กว่าคุณมากๆยังไงไม่รู้อ่ะ "
นับหนึ่งมองเขาด้วยความแปลกใจแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดอะไร
" ก็บอสอายุมากกว่าจริงๆนี่คะ บอสเป็นผู้อาวุโสกว่า ถ้าไม่ไหว้มันจะดูไม่ดีมั้งคะ "
" ดูคุณพูดสิ พูดซะเหมือนว่าผมอายุห้าสิบ หกสิบเลย
เอาเป็นว่า คุณไม่ต้องไหว้ผมแล้ว ผมไม่ชอบให้คุณไหว้
แล้วก็ไม่ต้องเรียกผมว่าบอสแล้วด้วย เข้าใจมั้ย เรียกชื่อผมเฉยๆก็พอ แล้วก็ต้องแทนตัวเองว่าฉันเท่านั้น
แล้ว....ก็...ไม่ต้องเอาสถานะระหว่างเจ้านายกับลูกน้องมากั้นระหว่างเรา ได้มั้ย "
นับหนึ่งหรี่ตามองหน้าเขาพร้อมกับเอ่ย
" หือ...ไม่ให้สถานะกั้นระหว่างเรา คุณหมายความว่ายังไงคะ? "
นับหนึ่งจ้องหน้าเขาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ พร้อมกับลอบพึมพำในใจอย่างงงงัน
[ เป็นเจ้านายแต่ไม่ให้เรียกบอส ยกมือไหว้ก็ไม่อนุญาต ไม่ให้สถานะกั้นระหว่างเรานั่นอีก มันหมายความว่ายังไง นี่บอสเป็นอะไรมากมั้ยอ่ะ ]
ธีร์สบตาเธออย่างลึกซึ้ง สักพักก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยตอบเธอไปว่า
" ก็หมายความว่า ผมอยากใช้สถานะเพื่อนกับคุณไง ผมยังไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงมาก่อนเลย
พอเจอคุณแล้วรู้สึกถูกชะตาน่ะ
อีกอย่าง วันนี้...จริงๆแล้ว มันไม่ใช่วันเกิดผมหรอก ผมแค่อยากทำให้คุณทานข้าวอย่างสบายใจน่ะ เลยโกหกออกไปแบบนั้น "
ได้ยินดังนั้นนับหนึ่งก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเอ่ย
" ค่ะ งั้นก็ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ ขอบคุณที่พาไปทานอาหารอร่อยๆค่ะ
แต่เรื่องที่คุณห้าม ฉันว่ามันจะดูไม่ค่อยเหมาะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะคะ
คุณเป็นถึงผู้บริหารเลยนะ จะมาเป็นเพื่อนกับลูกจ้างอย่างฉันได้ยังไง
อีกอย่างอายุเราห่างกันตั้งหลายปี ฉันก็ต้องไหว้คุณอย่างเคารพสิ "
เธอพยายามเอ่ยอธิบายอย่างสมเหตุสมผล เพราะเธอจะรู้สึกอึดอัดมาก ถ้าต้องทำแบบที่เขาขอไว้จริงๆ
" ไม่ได้ ยังไงคุณก็ห้ามยกมือไหว้ผม ห้ามเรียกผมว่าบอสเหมือนคนอื่น แล้วก็ห้ามแทนตัวเองว่าหนูอีกเด็ดขาด "
ธีร์เอ่ยเสียงแข็งอย่างสุขุมสบตากับนับหนึ่งด้วยแววตาเคร่งขรึมจริงๆ ทำเอานับหนึ่งถึงกับอึ้งไป
จากนั้นเธอก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบด้วยความประชดว่า
" ขณะที่คนอื่นที่อายุมากกว่าฉันยกมือไหว้คุณ คุณจะให้ฉันยืนแข็งทื่อเหมือนก้อนน้ำแข็งเหรอคะ "
เขายิ้มอ่อนอย่างสุขุมแล้วเอ่ย
" งั้นก็แค่ค้อมตัวเล็กน้อยพอ แต่หากยกมือไหว้อีกล่ะก็ ผมจะหักเงินเดือนคุณครั้งละหนึ่งร้อยบาท "
พอได้ยินว่าจะถูกหักเงินเดือน นับหนึ่งก็รีบตอบตกลงทันที
" ก็ได้ค่ะ นับหนึ่งจะไม่ยกมือไหว้คุณแล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะคะ "
ธีร์พยักหน้ายิ้มให้เธอเบาๆอย่างพอใจ แล้วนับหนึ่งก็หันไปเปิดประตูก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้าหอไป
ธีร์มองตามแผ่นหลังเรียวบางของนับหนึ่งไปอย่างเงียบๆ จริงๆแล้วเขาอยากจะให้เธอมองเขาเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่ง
ที่ไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่เพื่อน เพื่อง่ายต่อการเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์
อยากจะดูแลเธอแต่ก็กลัวจะถูกปฏิเสธ อยากจะเดินหน้าจีบตรงๆ ก็กลัวเธอจะรู้สึกอึดอัดเวลาทำงาน
เลยได้แต่เก็บความรู้สึกชอบและความรู้สึกอยากจะจีบเอาไว้ในใจแล้วใช้คำว่า ถูกชะตาแทน
แม้มันจะมีความหมายว่าชอบเหมือนกัน แต่มันก็ให้ความรู้สึกดีกว่าพูดว่าชอบเธอเธอตรงๆ
ทางด้านในภัตคารสุดหรู หลังจากที่ชายร่างสูงใหญ่ทานข้าวเสร็จ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมเย็นชาอย่างไม่ให้เกียรติหญิงสาวตรงหน้าสักนิด
" ผมอิ่มแล้ว หากคุณยังไม่อิ่มก็ทานต่อไปคนเดียวแล้วกัน "
เอ่ยจบเขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร อิงฟ้านั่งนิ่งอึ้งด้วยความรู้สึกโกรธและไม่พอใจอย่างมาก
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ลุกขึ้นยืนตามเขา แล้วแสร้งเอ่ยเสียงหวานอย่างเอาใจ
" ฉันก็อิ่มแล้วค่ะ "
กลุ่มมีมี่ได้ยินดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจแล้วเดินเข้ามาหาอิงฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มอย่างเกรงใจ
" เอ่อ ขอโทษนะคะคุณอิงฟ้า พวกเราขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ "
มีมี่เอ่ยเสียงหวานด้วยท่าทีนอบน้อม อิงฟ้าหันมายิ้มให้หล่อนแล้วเอ่ยเสียงหวานอย่างเสแสร้งแกล้งทำด้วยความรำคาญใจ
" ได้ค่ะ "
แล้วทั้งสามคนก็เข้าไปถ่ายรูปคู่กับอิงฟ้าทีละคนๆ จากนั้นก็ขอลายเซ็นต์เธอต่อ
อิงฟ้ารู้สึกรำคาญใจอย่างมาก แต่ก็ฝืนเซ็นๆไปเพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้ดูดีสมกับเป็นนางเอก
ส่วนชายร่างสูงใหญ่ก็เดินออกไปจากร้านอาหารโดยไม่หันมาสนใจอิงฟ้าอีก
รานีเห็นลูกสาวกลับมาด้วยสีหน้าโกรธจัดจึงเดินเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
" อิงฟ้า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงหน้าบึ้งกลับมาแบบนั้นล่ะลูก มีอะไรเล่าให้แม่ฟังได้นะ "
อิงฟ้าโยนกระเป๋าลงบนโซฟา แล้วเดินไปนั่งลงพร้อมกับเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟังด้วยความเกลียดแค้นแววตาดุร้ายราวกับปีศาจ
" วันนี้หนูเจอนังนับหนึ่งค่ะ "
" ว้าย! ตายละ แล้ว แล้วเจ้านายพ่อเห็นมันมั้ย จำมันได้หรือเปล่า "
รานีอุทานออกมาพร้อมกับเอาฝ่ามือแตะอกตัวเองด้วยความตระหนกตกใจ
" ไม่เห็น เพราะเขาไม่ได้มอง ถึงมองก็จำไม่ได้หรอก ในห้องของผู้ชายคนนั้นมืดอย่างกับไม่ใช่ห้องคน ไม่งั้น ตอนนั้นเขาก็คงไม่คิดว่านังนับหนึ่งเป็นหนูหรอกค่ะ "
อิงฟ้าเอ่ยตอบเสียงห้วนอย่างอารมณ์เสีย ได้ยินดังนั้น รานีก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกับเอ่ยถามต่อ
" โฮ่ย โชคดีที่เขาแล้วที่จำนังนับหนึ่งไม่ได้ แล้วลูกเจอนังนับหนึ่งที่ไหน "
" ที่ภัตคารจีน มันกับพวกเพื่อนๆของมัน นั่งทานข้าวข้างๆโต๊ะหนู
คุณแม่รู้มั้ย ชีวิตมันสุขสบายมากเลยนะคะคุณแม่ มันไม่ได้อดตายอย่างที่เราคิดเลย
แล้ว มันก็ทำร้ายหนูด้วย แถมยังบอกอีกว่า มันจะไม่ยอมให้เรารังแกมันอีก
หนูอยากจะฆ่ามัน หนูอยากจะทำลายใบหน้าสวยๆของมัน หนูเกลียดมันที่สุด "
อิงฟ้าเอ่ยออกมาด้วยความโกรธแค้น ในใจเต็มไปด้วยความริษยาที่รุนแรง
ผู้เป็นแม่เห็นดังนั้นจึงโอบกอดลูกสาวแล้วเอ่ยปลอบเบาๆเตือนสติลูกอย่างใจเย็น
" ลูกต้องใจเย็นๆนะ ตอนนี้ลูกอย่าลืมว่าลูกกลายเป็นดาราดังไปแล้ว
คิดจะทำอะไร ต้องคิดให้รอบคอบ คิดถึงผลที่จะตามมาให้มากๆ
แม่รู้ แม่เข้าใจว่าลูกเกลียดนังนับหนึ่ง แม่ก็อยากจะฆ่ามัน แต่เราจะแสดงออกไม่ได้
ลูกอย่าลืมว่า กำแพงมีหู ประตูมีตา เราจะพูดออกมาตามใจอยากไม่ได้ เข้าใจมั้ย
ยิ่งพ่อเราเอาแต่รู้สึกผิดเข้าข้างแต่นังนับหนึ่งเราต้องยิ่งระวังให้มากๆ เข้าใจมั้ย "
อิงฟ้าหันมามองผู้เป็นแม่แล้วตะคอกใส่ด้วยความหงุดหงิดใจที่ไม่ได้ดั่งใจ
" จะให้ใจเย็นยังไงไหว ในเมื่อนังนับหนึ่งมันยังไม่ตาย แถมมันยังมีความสุขมากอีกต่างหาก ทั้งหมดเป็นเพราะคุณแม่นั่นแหละ ที่ปล่อยให้มันหนีไป! "
เอ่ยจบเธอก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องตัวเองทันที
รานีนั่งเงียบด้วยความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อนับหนึ่งพร้อมกับพึมพำในใจอย่างชั่วร้าย
[ นังนับหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าแกจะมาปรากฎตัวทำให้ลูกฉันอารมณ์เสียมากขนาดนี้
อย่าให้ฉันรู้นะ ว่าแกอยู่ตรงส่วนไหนของเมืองนี้ ไม่งั้น แกได้อยู่อย่างตกนรกทั้งเป็นแน่ ]
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ริษยาร้ายซ่อนรัก