ในขณะที่นับหนึ่งกับมีมี่เดินออกมาขึ้นรถหน้าบ้าน มีชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ วัยสามสิบกว่าสองคน แอบอยู่ในรถที่จอดห่างไกลออกไป ส่วนคนที่นั่งข้างคนขับกำลังรายงานเจ้านายด้วยสีหน้าสุขุม
" ตอนนี้คุณนับหนึ่งกำลังออกมาขึ้นรถแล้วครับ นายจะให้พวกผมตามอยู่มั้ยครับ "
" อือ ตามจนกว่าเธอจะกลับถึงบ้าน "
คนในสายสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็นอย่างน่าเกรงขาม ชายหนุ่มที่เป็นลูกน้องจึงเอ่ยตอบรับคำอย่างนอบน้อม
" ครับ "
หลังจากสั่งงานเรียบร้อยแล้ว คนในสายก็กดวางสายไป
มีมี่กับนับหนึ่งเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถออกจากบ้านของอิงฟ้า แล้วขับรถออกไปจากหมู่บ้าน มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของตนเอง
ส่วนชายหนุ่มชุดสูททั้งสองคนก็ขับตามรถของมีมี่ไปห่างๆ โดยที่มีมี่กับนับหนึ่งไม่รู้ตัว
แล้วอยู่ๆก็มีรถกระบะคันสีดำขับแทรกเข้ามาระหว่างรถเก๋งสีดำของชายหนุ่มกับรถนับหนึ่ง
นับหนึ่งที่นั่งในรถหันไปมองหน้าพี่มีมี่ของเธอ ที่กำลังขับรถอยู่แล้วเอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบด้วยแววตาอยากรู้
" จริงสิ พี่มี่ พี่รู้ได้ไงคะ ว่าบ้านอิงฟ้าอยู่ที่นี่ "
ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้เอะใจ เพราะคิดว่าพี่มี่ของเธอคงได้ที่อยู่อิงฟ้าจากคนในกองถ่าย
มีมี่ยิ้มแล้วเอ่ยตอบน้องสาวด้วยน้ำเสียงสบายๆอย่างอารมณ์ดี
" แค่ที่อยู่อิงฟ้า ไม่รอดสายตาบอสเราหรอกค่ะ ขอแค่น้องต้องการ ต่อให้อิงฟ้าอยู่นอกโลก บนดาวดวงอื่น บอสตึงสอยตี้อยู่นางมาหื้อน้องจ๋นได้จ้าว "
หล่อนลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนเลียนแบบสาวเหนือ
ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเป็นหญิงงาม ที่อ่อนช้อยงดงาม ผิวขาว ผุดผ่อง เนียนสวย ดุจไข่มุก
วาจาอ่อนหวานประดุจน้ำผึ้งเดือนห้า กิริยานุ่มนวลน่าหลงไหลจนผู้พบเห็นเป็นต้องเหลียวมอง
" พี่บอกบอสเหรอว่าเราจะบุกบ้านอิงฟ้า? "
" ใช่ค่ะ หากไม่ได้บอสช่วย พี่ก็คงขับรถไปบ้านอิงฟ้าไม่ถูก คงพาน้องบุกไปถึงบ้านนางไม่ได้ค่ะ
เพราะพี่ไล่ถามคนในกองแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ที่อยู่นางเลย ที่อยู่นางคือปิดเงียบไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่แถวไหน
ทรายผู้จัดการนาง ก็ช่วยนางปกปิดที่อยู่ราวกับกลัวนักข่าวจะเจอเรื่องส่วนตัว ที่ไม่สามารถให้คนนอกรู้ได้เลยค่ะ "
นับหนึ่งผงกหัวเบาๆ เธอไม่สนใจหรืออยากรู้ ว่าอิงฟ้าจะปกปิดที่อยู่ไปทำไม
ตอนนี้เธอสนแค่อิสระ อย่างไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลของอิงฟ้าอีก
" อ้อ น้องลืมบอกพี่ ว่าน้องนัดกับบอสไว้ ว่าจะกลับไปหาบอสกับพี่เจนพี่ครีม
หลังจากที่เราทำเรื่องย้ายอะไรภูมิลำเนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรากลับไปกันเลยดีมั้ยคะ "
เธอเอ่ยเสียงใสพร้อมกับถามความเห็นจากพี่มี่ของเธอ
" ดีเลยค่ะ เราไม่ได้กลับไปหาพวกเขานานมากแล้ว บอสคงจะดีใจมากถ้าได้เจอน้อง อืม...พี่ว่า บอส ชอบน้องมากเลยนะ "
มีมี่เอ่ยตอบเสียงเรียบแล้วถึงเรื่องที่บอสชอบน้องอย่างระมัดระวัง พร้อมกับเหล่มองนับหนึ่งด้วยหางตาแวบๆ
" ค่ะ เรื่องนั้นน้องรู้นานแล้ว แต่น้องยังไม่พร้อมในตอนนี้ "
ได้ยินดังนั้นมีมี่ก็ถึงกับอึ้งจนหยุดชะงัก หล่อนเหยียบเบรกรถเข้าจอดข้างทางกะทันหัน แล้วหันขวับมามองหน้าน้องพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
" น้องรู้นานแล้วงั้นเหรอ "
" ใช่ค่ะ แล้วพี่จะตื่นเต้นอะไรคะ หัวน้องเกือบทิ่มแล้วเนี่ยเบรกทีไม่ห่วงน้องเลย "
นับหนึ่งตกใจจนย่นคิ้วอย่างหน้านิ่ว มีมี่ยิ้มแหยแล้วเอ่ย
" แฮ่...ขอโทษที พี่ตกใจไปหน่อย "
จากนั้นหล่อนก็กลับมาทำหน้าปกติแล้วเอ่ยต่อ
" จริงๆแล้ว พี่ไม่ได้เบรกเพราะเรื่องน้องหรอก เพียงแต่เรื่องที่เราคุยกัน มันเป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ่รถบ้านั่นมาขับปาดหน้าเราพอดี พี่ตกใจเลยต้องหักหลบกะทันหันน่ะ "
หล่อนเอ่ยอธิบายเสียงเรียบ นับหนึ่งเลยมองไปยังรถคันสีดำตรงหน้าด้วยแววตานิ่งๆ มีมี่เลยเอ่ยต่อว่า
" พี่เห็นรถกระบะนั่นขับตามมาได้สักพักแล้ว แต่ไม่ได้เอะใจอะไร นึกไม่ถึงว่าพอเข้าทางเปลี่ยวแล้วมันจะขับเข้ามาเบียดแล้วปาดหน้าเราแบบนี้ "
นับหนึ่งฟังพี่มีมี่พูดพร้อมกับจ้องไปยังชายฉกรรจ์ที่เปิดประตูลงมาจากรถ ตรงมายังพวกเธอ
เธอหรี่ตามองชายสองคนนั้นอย่างสงบนิ่งแล้วเอ่ยพึมพำออกมาเสียงเย็น
" หึ นึกไม่ถึง ว่ามันอยากจะกำจัดเราจนอดทนต่อไปไม่ไหว ถึงกับต้องรีบลงมือแบบนี้
คนชั่วที่ชอบอิจฉาริษยา ต่อให้เวลาเป็นพันปี ก็คงไม่ช่วยขัดเกลาให้จิตใจพวกมันดีขึ้นหรอก
พี่มี่ว่าแบบนี้น้องควรจะให้อภัยมันอยู่มั้ยคะ หรือว่าควรจะทำให้มันรู้ความร้ายกาจของเราดี "
" ไม่ควรให้อภัยอย่างยิ่งค่ะ "
มีมี่เอ่ยตอบนับหนึ่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังในขณะที่สายตาของหล่อนจับจ้องไปยังชายฉกรรจ์ทั้งสองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
จากนั้นหล่อนก็ละสายตาจากชายฉกรรจ์ ย้ายสายตากลับมามองนับหนึ่ง
แววตาหล่อนถึงกับอึ้ง เมื่อเห็นท่าท่ากับแววตาอันเยือกเย็นของน้อง จนหล่อนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เพราะน้องนับหนึ่งของหล่อน บทจะไร้เดียงสาก็ไร้เดียงสาจนน่าหมั่นไส้ บทจะร้ายก็ร้ายจนน่ากลัว
ตอนนี้รอบตัวเธอถูกปกคลุมไปด้วยไอแห่งความเยือกเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากตัว จนทำให้หล่อนรู้สึกขนลุก
นับหนึ่งยิ้มร้ายออกมาอย่างพอใจกับคำตอบของพี่มีมี่ เพราะเธอคิดไว้แล้วว่าสันดานของสองแม่ลูกนั่นไม่มีวันเปลี่ยนได้
เธอเลยเลือกที่จะบุกบ้านอิงฟ้า เพื่อยั่วให้แม่เลี้ยงโกรธจนเลือดขึ้นหน้า แล้วเผยสันดานชั่วที่สามารถกำจัดคนได้อย่างเลือดเย็นออกมา
" ค่ะ น้องจะไม่ให้อภัยและจะไม่มีวันยอมอีก ถึงเวลาแล้ว ที่พวกมันต้องชดใช้กรรมที่มันเคยก่อ "
มีมี่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งตกใจ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงและหวังดี
" น้องใจร่มๆก่อนนะ พิ พี่ว่าเราโทรปรึกษาบอส ขอให้บอสช่วยก่อนดีมั้ย
อย่าลืมว่าตอนนี้น้องกำลังจะดัง ทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบอย่างถี่ถ้วนก่อน "
" พี่มี่ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะน้องจะไม่ทำอะไรจนขาดสติ น้องจะไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนแน่นอนค่ะ "
เมื่อเห็นน้องเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ มีมี่ก็พยักหน้าเบาๆอย่างเชื่อมั่นใจตัวน้อง
[ มันคงถึงเวลาแล้วสินะ ที่นับหนึ่งจะต้องแก้แค้นให้คุณแม่ คุณแม่สบายใจได้เลยนะคะ หนูจะไม่ให้ความแค้นครอบงำจนขาดสติแน่นอนค่ะ ]
เธอพึมพำบอกกับแม่ในใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจหันไปเปิดประตูลงจากรถ เผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์อย่างไม่มีความเกรงกลัว
มีมี่เองก็รีบเปิดประตูตามน้องลงไปพร้อมช่วยน้องตลอดเวลา
" มันจ้างพวกคุณเท่าไหร่ ฉันให้มากกว่าที่มันให้เป็นสองเท่า ข้อเสนอนี้พวกคุณคิดว่าไง "
นับหนึ่งลงมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยอย่างสุขุม ทำเอาสองชายฉกรรจ์ถึงกับอึ้งเล็กน้อยที่ท่าทีนับหนึ่งดูเหมือนจะรู้ว่าใครส่งพวกเขามา
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจข้อเสนอของนับหนึ่ง จากนั้นชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
" ข้อเสนอของคุณคนสวยไม่เลวเลย แถมยังเป็นข้อเสนอที่ฉลาดมากอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่พวกเรามีนายเพียงแค่คนเดียว จะให้ดี อย่าให้พวกเราใช้กำลัง ทำให้เรือนร่างสวยงามของคนสวยบอบช้ำเลย "
" หึ พวกคุณช่างจงรักภักดีจริงๆ น่าเสียดายที่เลือกจงรักภักดีกับคนชั่ว "
มีมี่เอ่ยแทรกขึ้นเสียงเย็น ทำให้ชายฉกรรจ์หน้าโหดย้ายสายตามามองหล่อน
ในขณะที่ทั้งสองสี่คนกำลังยืนประจานหน้ากัน ทางด้านหลังก็มีรถเก๋งคันสีดำจอดดูสถานการณ์อยู่ไกลๆ คนในรถหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรไปรายงานเจ้านาย
" นายครับ ตอนนี้มีชายฉกรรจ์สองคนกำลังยืนคุยกับคุณนับหนึ่งอยู่ ดูแล้วไม่น่าจะมาดี นายจะให้ผมลงไปช่วยคุณนับหนึ่งมั้ยครับ "
กวินนั่งอยู่ในห้องทำงานได้ยินลูกน้องรายงานดังนั้น เขาก็ระบายยิ้มออกมาที่มุมปากด้วยแววตาเยือกเย็นอย่างคาดเดาอารมณ์ยาก
" ไม่ต้อง รอดูสถานการณ์ห่างๆไปก่อน อย่าให้นับหนึ่งจับได้ว่าคุณก็ตามเธออยู่ "
กวินเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงสุขุม ลูกน้องที่นั่งดูสถานการณ์ในรถก็ได้แต่เอ่ยตอบรับคำเสียงเรียบ
" ครับ "
" เดี๋ยวคุณส่งโลเคชั่นมาให้ผมหน่อย "
" ได้ครับ "
พอเอ่ยจบเขาก็กดวางสายไปด้วยสีหน้านิ่งอย่างสุขุม แล้วลุกออกจากเก้าอี้ ก้าวเท้ายาวออกไปจากห้องด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
หลังจากเจ้านายวางสายไปแล้วสองชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก็นั่งมองสถานการณ์ในรถต่อไปอย่างเงียบๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ริษยาร้ายซ่อนรัก