เจิ้งเจี๋ยออกไปเกี่ยวหญ้าตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากทานข้าวเสร็จ เขาจะเอาต้นกล้าลงแปลงใหญ่ เพราะตอนนี้ต้นกล้าของมะเขือเทศก็โตพอแล้ว ส่วนฟางเหนียงตอนนี้กำลังเพาะกล้าที่ได้รางวัลเป็นเมล็ดพันธุ์มาจากการปรับปรุงบ้าน หากเมล็ดพันธุ์นี้เป็นต้นกล้าแล้ว นางจะเอาไปปลูกที่นาเพราะมันเป็นไม้ยืนต้น ต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโต ดอกไม้กระดิ่งคนตาย ยามนี้นางได้ย้ายออกมาปลูกไว้ในกระถางที่เป็นดินธรรมดาแล้ว แต่ยังคงใส่ปุ๋ยวิเศษอยู่ ระบบได้บอกนางว่า หากดอกไม้อยู่ในกระถางพันปีนานเกินไป ดอกไม้นี้อาจจะตายก่อนได้ เพราะมันมีอายุไม่เกิน 2 พันปี ปลูกไว้แค่ 10 วันดอกไม้ชนิดนี้ก็มีอายุเป็นพันปีแล้ว หลังจากที่เจิ้งเจี๋ยกลับมาจากเกี่ยวหญ้า ก็มีชายคนหนึ่งมาส่งจดหมายให้กับเขา ในข้อความเขียนไว้ว่า อีก 1 เดือนเจอกันที่เมืองเฟิ่งฟู่ หลังจากที่เห็นว่าเจิ้งเจี๋ยอ่านจดหมายนั้นจบแล้ว ชายผู้นั้นก็ขอจดหมายคืนแล้วเผาทิ้งตรงหน้าเจิ้งเจี๋ยทันที แล้วเดินกลับไปไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
"ฟางเหนียงหากว่าอีก 1 เดือนข้างหน้าข้าจะไปส่งดอกไม้ ข้าอยากได้ผักของเราไปเสนอขายด้วย เจ้าว่าอย่างไร" หากครั้งนี้เขาเอามะเขือเทศไปเสนอขายให้พ่อค้าที่เมืองเฟิ่งฟู่ได้ ครั้งต่อไปเขาอาจจะได้ทำการค้าร่วมกันอีก "อืม ดีเลยล่ะ หากไปขายที่นั่นมันต้องได้ราคาที่สูงมากเป็นแน่" เพราะตอนที่นางขายให้ลีหยางแค่ไม่กี่กงจิน ยังได้ถึง 15 ตำลึงทอง แล้วนี่นางปลูกไปเกือบ 3 หมู่นางต้องได้เงินมากกว่าเดิมหลายเท่าอย่างแน่นอนหลังจากที่ทั้งสองคนตกลงกันได้แล้ว ก็พากันเอาต้นกล้ามะเขือเทศลงแปลงใหญ่ แต่ครั้งนี้ทั้งสองใช้เวลา 2 วันถึงจะลงต้นกล้าเสร็จ
เจิ้งเจี๋ยใส่ใจดูแลผักเป็นอย่างดี เพราะเขาไม่อยากให้ฟางเหนียงต้องเป็นกังวลกับผักว่ามันจะเติบโตมาไม่ดี ให้ผลผลิตน้อย ยามนี้เขาแข็งแรงขึ้นมามากแล้ว จากเมื่อก่อนที่มีร่างกายที่ซูบผอม ยามนี้กลับมีร่างกายที่บึกบึน เจิ้งเจี๋ยชอบคำว่าบึกบึนเป็นพิเศษ เพราะเวลาเข้านอนฟางเหนียงชอบเอามือมาลูบคลำกล้ามเนื้อตรงบริเวณหน้าท้องของเขา แล้วพูดว่าข้าชอบร่างกายที่บึกบึนของเจ้าเช่นนี้ยิ่งนัก เวลาเขาได้ฟังนางเอ่ยคำนี้ครั้งใด มันทำให้เขาอดใจไว้ไม่ได้เลยสักครั้งต้องทำให้นางเหน็ดเหนื่อยทุกครั้งไป จนทำให้นางต้องนอนตื่นสายเกือบทุกวัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยว่านางเลยสักครั้ง แต่กลับชอบมากกว่า เขาจึงเป็นคนที่ตื่นเช้ามาทำงานทุกอย่าง เพื่อนางจะได้มีเวลาพักมากขึ้น
ผ่านไป 15 วัน ต้นกล้าอีกอย่างที่นางเพาะไว้ก็ได้เติบโตพอที่จะลงแปลงใหญ่ ส่วนมะเขือเทศของนางนั้น น่าจะต้องเก็บล่วงหน้า 1 วันก่อนที่เจิ้งเจี๋ยจะออกเดินทาง การเดินทางไปเมืองเฟิ่งฟู่ใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ถึงเวลานั้นมะเขือเทศของนาง ก็น่าจะมีผลที่เป็นสีเขียวอมชมพู แต่พอไปถึงแม่ค้าก็น่าจะสุกพอดี ก่อนที่จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวมะเขือเทศ นางเอาต้นกล้าอีกอย่างหนึ่งที่โตพอจะลงหลุมได้แล้ว ขนย้ายไปที่นาของนาง ทั้งสองคนลงต้นกล้าแต่ละหลุมนั้นห่างกันประมาณ 3 ผิง ( 9.9 เมตร) เพราะมันเป็นไม้ยืนต้นมันต้องใช้พื้นที่ในการเจริญเติบโต ต้นกล้ากว่า 60 ต้นได้ถูกทั้งสองคนเอาลงไปในหลุมทั้งหมด กว่าจะเสร็จก็พลบค่ำพอดี
และวันนี้ก็เป็นวันที่ต้องเก็บเกี่ยวมะเขือเทศเอาไว้ขึ้นรถม้าในวันพรุ่งนี้ เพราะเจิ้งเจี๋ยได้ทำการเช่ารถม้าล่วงหน้าไว้แล้ว วันนี้ทั้งสองจึงช่วยกันเก็บมะเขือเทศอย่างขะมักเขม้น วันต่อมาเจิ้งเจี๋ยได้เข้าไปเอารถม้าที่จองไว้เมื่อวานนี้ในตัวอำเภอ แล้วกลับมาช่วยฟางเหนียงเก็บมะเขือเทศจนเสร็จ เจิ้งเจี๋ยเอามะเขือเทศทั้งหมดที่เก็บเสร็จแล้วขึ้นรถม้าทันที "เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ไปกับข้า" ก่อนที่เขาจะไปเช่ารถม้า เขาก็ได้ถามนางไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่นางก็ปฏิเสธเพราะไม่มีใครเกี่ยวหญ้าให้วัว การเดินทางไปกลับครั้งนี้ต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน นางไม่อยากรบกวนท่านลุงท่านป้ามากนัก เพราะท่านทั้งสองแก่แล้ว "อืม ข้าห่วงทางบ้านเรานี่น่า" นางพูดเสียงอ้อน เจิ้งเจี๋ยพยักหน้าให้นางไม่อยากบังคับนางอีก
วันต่อมาเจิ้งเจี๋ยก็เริ่มออกเดินทางคนเดียวตั้งแต่เช้าตรู่ ทีแรกเขาคิดจะจ้างคนไปเป็นเพื่อนด้วย แต่ว่าเขามีของสำคัญติดไปด้วยนี้สิ เขาจึงตัดสินใจไม่จ้างใครไปกับเขา หากจ้างคนที่ไม่มีที่มาที่ไป คนนั้นอาจเป็นชาวยุทธ์ปลอมตัวมาเพื่อขโมยของสำคัญนี้ไปก็เป็นได้ เจิ้งเจี๋ยเร่งเดินทางให้ถึงเมืองเฟิ่งฟู่ให้เร็วที่สุด เจิ้งเจี๋ยจะจอดรถม้าบ่อยเพราะกลัวม้าจะเหนื่อยเกินไป แต่เขาจะพักไม่นานหากม้าหายเหนื่อยแล้วเขาก็เดินทางต่อทันที เขาไม่เคยแวะพักในโรงเตี๊ยมเลยสักคืน เพราะผ้าห่มหนานุ่มที่ฟางเหนียงเตรียมไว้ให้เขานั้นมันดีกว่าในโรงเตี๊ยมเสียอีก เรื่องอาหารฟางเหนียงก็ได้เตรียมหม้อ เตา ถ้วย จาน ข้าวสาร และเนื้อตากแห้งที่เขาเคยไปล่าสัตว์ เขาแทบจะไม่ได้ซื้ออะไรทานเลยตลอดการเดินทาง
หลายวันแล้วที่เจิ้งเจี๋ยเดินทางไปเมืองเฟิ่งฟู่ ตอนนี้ก็น่าจะถึงแล้ว ฟางเหนียงเองที่อยู่บ้านก็ออกไปเกี่ยวหญ้าให้วัวทุกวัน นางทำการเอาเมล็ดพันธุ์พริกหยวกไปตากแดดให้แห้ง นางกำลังจะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ในห่อ ก็มีท่านป้าคนหนึ่งมาเรียกนางที่หน้าบ้าน "ฟางเหนียงเอ้ย ฟางเหนียง" นางเดินมาถึงประตู ก็แอบส่องดูว่าใครมาเรียกนาง ที่แท้ก็เป็นท่านป้าข้างบ้านนี้เอง "ท่านป้า มีอะไรหรือเจ้าค่ะ เชิญด้านในก่อนเจ้าค่ะ" นางเชิญท่านป้าเข้ามาในบ้าน แล้วยกน้ำที่มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ดื่มด้วย ท่านป้านั่งลงแล้วดื่มน้ำ พอดื่มลงไปแล้วท่านป้ารู้สึกว่าร่างกายที่เหนื่อยล้าเพราะอายุมากแล้วนั้น เหมือนว่ามันจะดีขึ้นกว่าปกติ ท่านป้าจึงยกน้ำขึ้นดื่มอีกครั้งจนหมดแก้ว แล้วเอ่ยถามนาง "ฟางเหนียง เจ้าเก็บเกี่ยวผักของเจ้าแล้วรึ เมื่อเช้าข้ากลับมาจากเมืองหลวงไม่เห็นผลมันแล้ว"ฟางเหนียงพยักหน้าตอบ
"เจ้าค่ะท่านป้า เมื่ออาทิตย์ก่อนข้าให้สามีของข้าเอาไปขายอยู่ที่เมืองเฟิ่งฟู่เจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้า ท่านป้าอยากทานรึ เดี๋ยวข้าไปเก็บมาให้ก็ได้เจ้าค่ะ ตอนที่ข้าเก็บเกี่ยวมันยังไม่สุกดี แต่ตอนนี้มันสุกแล้วท่านป้าเอาไปทานก็ได้นะเจ้าค่ะ" ฟางเหนียงร่ายยาว และกำลังจะเดินไปหลังสวนเพื่อไปเก็บมะเขือเทศ แต่ท่านป้าก็ห้ามไว้ก่อน "ไม่ๆ ข้าไม่ได้อยากได้หรอก ที่ข้ามาวันนี้เพราะเห็นว่าเจ้าชอบปลูกผัก ข้าจึงอยากถามเจ้าว่าอยากได้ที่ดินของข้าเพิ่มหรือไม่ พอดีข้าจะย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงกับลูกชายที่เป็นขุนนาง วันนี้ข้าแค่มาเก็บของเพียงเท่านั้น จึงเอาที่ดินมาเสนอขายให้เจ้าก่อน หากเจ้าไม่สนใจข้าจะได้ไปประกาศขาย" ฟางเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็รีบนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับท่านป้าทันที
"จริงหรือเจ้าค่ะ ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาซื้อที่ดินตรงไหนเพิ่มดี เพราะที่ดินของข้าไม่พอปลูกแล้ว" นางไม่คิดเลยจริงๆว่านางจะได้ที่ดินที่อยู่ติดกับบ้านตนเองเช่นนี้ ที่ดินของท่านป้าจะบอกว่าใหญ่กว่าใครในหมู่บ้านนี้เลยก็ว่าได้ หากนางได้มาจริงๆ นางคงปลูกผักได้หลายชนิดแน่นอน "แล้วท่านป้าจะขายให้ข้าเท่าไหร่หรือเจ้าค่ะ"นางเอ่ยถาม "ที่ดินของข้ามีประมาณ 50 หมู่ ข้าจะขายในราคา 30 ตำลึงทอง เจ้าสนใจรึไม่"ราคานี้ถือว่าท่านป้าอยากขายให้นางจริงๆ ปกติแล้วที่ดินที่นี่ราคาแพงกว่านี้มาก "เจ้าค่ะท่านป้า"นางไม่ต่อราคาท่านป้าให้มากความ ต่อให้ท่านป้าขายให้แพงกว่านี้นางก็ยอมจ่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ