ฟางเหนียงกำลังปลูกดอกไม้ที่เจิ้งเจี๋ยให้เมล็ดพันธุ์มาเมื่อครั้งก่อน นางลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ หากเมื่อเช้านางไม่เก็บผ้าไปซัก คงไม่รู้ว่ามีเมล็ดพันธุ์อยู่ในกระเป๋าเสื้อ นางอยากรู้เร็วๆ ว่ามันจะเป็นดอกไม้ชนิดใด จึงเอามาปลูกที่กระถางพันปีนี้ เพราะมันใช้เวลาแค่อาทิตย์เดียว ดอกไม้ชนิดนี้ก็ออกดอกให้นางรู้ได้แล้ว แต่หากว่านางปลูกไว้ในดินธรรมดา มันจะใช้เวลานานในการเจริญเติบโต “ฟางเหนียงเจ้ากำลังทำอะไรอยู่รึ”เจิ้งเจี๋ยที่กลับมาจากตัวอำเภอ เห็นว่านางกำลังวุ่นวายกับอะไรสักอย่างอยู่ จึงเอ่ยถาม “ข้ากำลังปลูกดอกไม้ที่เจ้าให้เมล็ดพันธุ์มาเมื่อครั้งก่อนนะ แล้วเจ้าล่ะ ไปขายกวางเป็นเยี่ยงไรบ้าง ขายได้หรือไม่”นางเอ่ยถาม แต่ไม่ได้มองเขา เพราะนางกำลังจดจ่อกับการพรวนดินในกระถางอยู่
“ขายได้สิ ข้าขายได้ถึง 1 ตำลึงทองเลยนะ”เจิ้งเจี๋ยพูดด้วยเสียงที่ภาคภูมิใจฟางเหนียงได้ยินเช่นนั้น ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง“โฮ!!! ขายได้แพงถึงเพียงนั้นเลยรึ”นางหันมาล้างถือในถัง แล้วกวาดสายตาไปเห็นของที่อยู่ในมือของเจิ้งเจี๋ย“เจ้าซื้ออะไรมารึ ทำไมมากมายถึงเพียงนี้” เจิ้งเจี๋ยวางของไว้บนโต๊ะ พร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นว่าเจ้าชอบทานเนื้อหมู ข้าเลยซื้อมาให้ ส่วนนี้เมล็ดพันธุ์ของพริกหยวก เห็นเถ้าแก่บอกว่ามันเป็นพริกที่ได้มาจากทางเหนือ คนชั้นสูงที่นั่นนิยมทานพริกหยวกผัด แต่ราคามันแพงไปหน่อย จึงมีขายแค่ในภัตตาคารเท่านั้น”เจิ้งเจี๋ยคิดว่าหากเอามาปลูกขายก็น่าจะได้ราคาดี เขาจึงเอาทั้งหมดที่เถ้าแก่มี แต่ถึงเช่นนั้นก็ได้มาแค่ 1 กำมือเท่านั้น เพราะเถ้าแก่มีเพียงเท่านี้ และราคามันก็แพงมากด้วย ไม่รู้ว่าปลูกมาแล้วจะเป็นพริกหยวกจริงหรือไม่ แต่ดูลักษณะนิสัยของเถ้าแก่แล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนหลอกลวง
“มีเท่านี้เองรึ”ฟางเหนียงพูดด้วยความเสียดาย ปลูกรอบแรกคงยังไม่ได้ขายแน่นอนเพราะนางต้องเอาเมล็ดพันธุ์เก็บไว้ก่อน เจิ้งเจี๋ยที่เห็นท่าทางของนางเป็นเช่นนั้น จึงเอ่ยปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยววันหลังข้าจะเข้าไปถามร้านอื่นให้เจ้าด้วยดีหรือไม่” ฟางเหนียงส่ายหน้า แล้วเอ่ยตอบเขา “ไม่เป็นไร ยังไงข้าก็จะปลูกแค่มะเขือเทศก่อน ส่วนพริกหยวกเราปลูกไว้เก็บเป็นเมล็ดพันธุ์ไปก่อน รอบหน้าค่อยปลูกไว้ขายก็ได้” วันต่อมาทั้งสองคนเข้าอำเภอเพื่อซื้อไถและวัวอีก 2 ตัว หลังจากที่กลับมาจากอำเภอ ทั้งสองคนก็ลงมือทำการพลิกหน้าดินทันที การพลิกหน้าดินใช้เวลาแค่วันเดียวก็เสร็จ นางจึงชวนเจิ้งเจี๋ยไปถางหญ้าที่นาของนางแล้วจึงพลิกหน้าดินไว้เพื่อปลูกอย่างอื่น ขณะที่รอให้ดินแห้งทั้งสองคนก็พากันไปตัดไม้ที่เชิงเขามาไว้ทำคอกให้วัวทั้งสองตัว
ดินที่พลิกหน้าดินไว้แห้งแล้ว ฟางเหนียงจึงทำการเพาะกล้ามะเขือเทศและพริกหยวก ส่วนเจิ้งเจี๋ยก็กำลังทำคอกวัวเช่นกัน ทั้งสองแบ่งหน้าที่กันทำ ใครทำเสร็จก่อนก็ไปช่วยอีกคน งานจะได้เสร็จเร็วขึ้น ฟางเหนียงที่ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วก็ไปช่วยเจิ้งเจี๋ยต่อ ทั้งสองช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น หลังจากที่ทำคอกวัวเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็เอาวัวเข้าคอก แล้วจึงพากันเข้าบ้าน อาบน้ำล้างตัว กินข้าว แล้วเข้านอน ตื่นเช้ามาฟางเหนียงก็ไปรดน้ำผัก แล้วเดินมารดน้ำดอกไม้ที่อยู่ในกระถางพันปี วันนี้ดอกไม้เริ่มออกดอกตูมแล้ว แต่ดอกมันกลับมีสีดำ ดอกไม้อะไรกันนางไม่เคยเห็นมาก่อน“เจิ้งเจี๋ยเจ้าช่วยมาดูดอกไม้นี้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”
เจิ้งเจี๋ยที่เดินมาจากให้หญ้าวัวเสร็จ ก็ดิ่งตรงมาหานางทันที “ทำไมรึ มันออกดอกแล้วอย่างนั้นหรือ” เจิ้งเจี๋ยที่เห็นดอกไม้นี้ก็ต้องชะงักไป “นี่ นี่มัน กระดิ่งคนตาย มิใช่รึ” เขาพูดแล้วก็หันหน้าไปหานาง “ฟางเหนียงนี้มันดอกไม้ที่ขึ้นชื่อว่า แม้กินลงไปแค่เล็กน้อยก็สามารถตายได้ในทันที เขาจึงขนานนามว่า กระดิ่งคนตาย เพราะดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่เป็นพิษ หากเผลอสูดดมตอนที่เรากำลังบดเป็นผงอยู่ก็อาจทำให้หมดสติได้เลย จอมยุทธ์ถึงได้ต้องการดอกไม้ชนิดนี้เป็นอย่างมาก” อันตรายถึงเพียงนั้นเชียวรึ นางคอยประคบประหงมมันมาอย่างดี ดีนะที่ดอกมันยังไม่บานไม่เช่นนั้น นางคงเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มลองการตายจากดอกไม้พิษนี้ แต่พอมาคิดดูแล้วหากเป็นสิ่งที่คนอื่นอยากได้ มันต้องขายได้ราคาดีแน่ๆ “เจ้าคิดว่ามันจะขายได้หรือไม่” นางพูดด้วยเสียงเจ้าเล่ห์
“ได้อย่างแน่นอน และราคาของมันก็ไม่ต่ำกว่า 1 พันตำลึงทองอีกด้วย” เจิ้งเจี๋ยไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีวาสนาเห็นเงินพันตำลึงทองด้วยดอกไม้ชนิดนี้ “1 พันตำลึงทองเลยรึ”แววตานางในตอนนี้บอกได้เลยว่า มีแต่เงินอยู่เต็มดวงตาคู่ใสนี้ แต่ไม่นานก็ต้องดับลง “แล้วเราจะเอาไปขายที่ไหนล่ะ” ถึงจะได้ราคาดีก็เถอะ แต่ชาวยุทธ์ในยุคนี้ก็ใช่ว่าจะมีมากซะที่ไหนกัน “แค่มีของ คนที่อยากได้หาไม่ยากเลย ข้ารู้จักพ่อค้าคนหนึ่งที่เคยทำการค้าแลกเปลี่ยนกับท่านพ่อ หากเขารู้ว่าข้ามีดอกไม้ชนิดนี้อยู่ รับรองได้เลยว่าเจ้าจะได้ค่าตอบแทนที่สูงมากอย่างแน่นอน” เจิ้งเจี๋ยพูดแล้วก็ยิ้มให้กับนาง “แล้วเจ้าจะติดต่อเขาได้เยี่ยงไร” นางสงสัย เพราะเจิ้งเจี๋ยไม่ได้ทำการค้ามานานแล้ว อาจจะลืมที่อยู่ของเขาไปแล้วก็ได้
“ข้ายังพอจำที่อยู่ของเขาได้ ข้าจะลองส่งจดหมายลับให้เขา หากส่งไปผิดที่ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครเข้าใจความหมายในกระดาษนั้น นอกจากพ่อค้าคนนั้นเพียงคนเดียว ปกติแล้วหากมีของสำคัญจะขายให้กันจะไม่ค่อยให้ผู้ค้ารายอื่นรู้ เพราะจะเอาไปประมูลต่อ หากมีคนนอกรู้อาจจะถูกขโมยไปได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะส่งจดหมายให้เขาทันที”ฟางเหนียงพยักหน้ารัวๆ แล้วอยู่ๆ เจิ้งเจี๋ยก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ฟางเหนียงที่เห็นรอยยิ้มนั้นแล้ว ยังรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที “ข้าหาทางขายดอกไม้ให้เจ้าได้แล้ว เจ้ามีรางวัลอะไรมาตอบแทนข้าหรือไม่” เจิ้งเจี๋ยพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าแล้วยื่นมือไปกุมที่มือของฟางเหนียงไว้แล้วลูบคลำไปมาอย่างช้าๆ นางที่รู้ความหมายที่เขาสื่อมาให้ ก็สบถด่าเขาทันที
“เจ้าบ้า”นางพูดแล้วก็สะบัดมือของคนทะลึ่งออกทันที แล้วหันหลังจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่เจิ้งเจี๋ยหรือจะยอมปล่อยนางไปง่ายๆ เขาคว้าแขนของนางไว้แล้วดึงตัวนางเข้ามาในอ้อมกอด “เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ฟางเหนียงพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แล้วทุบไปที่อกของเขาอยู่หลายที “หากเจ้าตกลง ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”เจิ้งเจี๋ยยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์ “ตกลงอะไรของเจ้าเล่า ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน” นางพูดแล้วหันหน้าไปทางอื่น “ให้ข้าบอกเจ้าจริงๆ รึ ได้!! ข้าขอ…” เจิ้งเจี๋ยยังพูดไม่จบฟางเนียงก็รีบตอบตกลงเขาในทันที “ได้ๆๆ ข้าตกลงๆ เจ้าไม่ต้องพูดมันออกมาแล้ว”เจ้าบ้าเอ้ย จะมาพูดเรื่องอย่างว่ากลางวันแสกๆ เช่นนี้ ไม่กลัวฟ้าผ่าหรืออย่างไรกัน แล้วถ้าหากมีคนเดินผ่านมาได้ยินเข้า ไม่อายเขาตายหรอกรึ เจิ้งเจี๋ยยิ้มร่าให้กับนางแล้วก้มหน้าลงจูบตรงหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา เขาปล่อยนางออกจากอ้อมกอดอย่างน่าเสียดาย ฟางเหนียงที่ได้อิสระแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที กลัวว่าถ้าหากยืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้เจิ้งเจี๋ยต้องหลอกกินเต้าหู้นางอีกเป็นแน่ เจิ้งเจี๋ยที่เห็นท่าทางของนางเช่นนั้นก็ยิ้มบางออกมา ก็นางชอบทำตัวน่ารักเช่นนี้จะไม่ให้เขาอยากแกล้งนางได้อย่างไรไหว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ