เจี้งเจี๋ยและฟางเหนียงได้ยินเสียงดังโวยวายมาจากสวนผักด้านหลัง ก็พากันรีบวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าที่ทั้งสองจะวิ่งไปถึง พวกมันก็ได้วิ่งหนีกันไปหมดแล้ว เจิ้งเจี๋ยที่กำลังจะวิ่งไปตามพวกมันก็ถูกฟางเหนียงห้ามไว้ก่อน "ใครกันถึงได้เล่นวิธีสกปรกเช่นนี้" เจิ้งเจี๋ยคิดแล้วก็โมโหยิ่งนัก กว่าเขาและฟางเหนียงจะปลูกและดูแลผักทั้งสวนนี้ให้โตมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วอีกอย่างตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาก็ไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเลยสักครั้ง แล้วใครกันทำไมถึงคิดมาทำลายสวนผักของเขาเช่นนี้
เช้าวันต่อมา "ฟางเหนียง ฟางเหนียง" ฟางเหนียงที่กำลังนั่งคิดหาคนที่นางเคยไปทำให้เขาไม่พอใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงท่านป้ามาเรียกนางอยู่ที่หน้าบ้าน นางจึงรีบออกไปเปิดประตูให้ทันที "เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือไม่" หลังจากที่ฟางเหนียงเปิดประตูหน้าบ้าน ท่านป้าก็รีบเข้ามาถามนางและสำรวจตามร่างกายว่านางมีบาดแผลตรงไหนหรือไม่ "ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านป้า" หลังจากท่านป้าแน่ใจว่านางไม่เป็นอะไรแล้วก็เอ่ยถามต่อ "แล้วสวนผักของเจ้าล่ะ เสียหายมากหรือไม่" นางอมยิ้มแล้วตอบ "ไม่มากเท่าไหร่เจ้าค่ะ ข้ากับเจิ้งเจี๋ยออกมาเจอพวกมันก่อน แต่พวกมันไหวตัวทันเลยหนีไปได้เจ้าค่ะ" นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องผงไฟให้ท่านป้าฟัง กลัวว่าท่านป้าจะสงสัยได้ นางจึงชวนท่านป้าเข้ามานั่งข้างในบ้านก่อน "แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ " เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน คนพวกนั้นที่มาทำลายสวนผักของฟางเหนียงเมื่อคืนนี้ จะต้องไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน ท่านป้าคิด
ฟางเหนียงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอนหายใจยาวออกมา"เฮ้อ!!! ข้าก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ เวลานี้เราจับมือใครดมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ" นางเอ่ยจบก็คิดทบทวนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่านางเคยไปมีปัญหากับใครอยู่คนหนึ่ง นางขมวดคิ้วสงสัยหรือว่าจะเป็นยัยคุณหนูผู้นั้น หากเป็นยัยคุณหนูผู้นั้นจริงๆ มาทำกันเช่นนี้จะไม่มากไปหน่อยหรอกรึ ยามนี้เจิ้งเจี๋ยก็มีคนที่เขาสงสัยอยู่เช่นกัน เพราะนอกจากผู้หญิงคนนั้นแล้วเขาก็ไม่ได้ไปมีปัญหากับคนอื่นแน่นอน เพราะเขารู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้หญิงคนนั้นเอามากๆ เขาจึงไม่อยากพูดคุยกับนางให้มากความก็เท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จะใช่นางที่สั่งการหรือไม่เขายังไม่รู้ชัด เขาต้องไปสืบเรื่องราวนี้ให้กระจ่างเสียก่อน หากเขาไม่มีหลักฐานแล้วไปกล่าวหาคนอื่นเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน วันนี้เจิ้งเจี๋ยจะเข้าไปตัวอำเภอแล้วลองสืบเรื่องนี้ดู เผื่อว่าจะได้เบาะแสอะไรมาเพิ่มบ้าง "วันนี้ข้าต้องเข้าตัวอำเภอ ข้าจะไปซื้อม้าแล้วก็สั่งให้ช่างไม้เขาทำรถม้าให้ด้วย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ"ท่านป้าพยักหน้าให้ เจิ้งเจี๋ยเอ่ยลาเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าไปกุมมือฟางเหนียงแล้วส่งยิ้มให้ แล้วก็รีบเดินออกไปทันที
ณ จวนตระกูลซู "พวกเจ้าว่าอย่างไรนะ แค่สวนผักไม่กี่สิบหมู่ พวกเจ้ายังทำลายไม่ได้เช่นนั้นรึ พวกเจ้านี่มันไม่ได้เรื่องและไร้ประโยชน์ยิ่งนัก เลี้ยงพวกเจ้านี่มันเปลืองข้าวสุกในจวนของข้าจริงๆ" กลุ่มชายชุดดำคนหนึ่งจึงเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาที่เจอมาเมื่อคืนนี้ "คุณหนูขอรับตอนที่พวกข้าจะเข้าไปในสวนผักนั่นเพื่อทำลาย อยู่ๆพวกข้าก็เหมือนถูกไฟคลอกทั่วร่างกายเลยขอรับ แต่ตรงที่พวกข้ายืนอยู่นั้นก็ไม่มีอะไรอยู่ตรงบริเวณนั้นเลย และกว่าพวกข้าจะกลับมาเป็นปกติได้ก็ใช้เวลาไปถึง 1 เค้อ" ชายผู้นั้นรีบอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาต่อหน้าเฟยหลิง "มันจะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าคิดไปเองหรอกรึ" จะให้เฟยหลิงเชื่อคำพวกนี้นะหรือ บ้าไปแล้วรึอย่างไร ตั้งแต่เฟยหลิงเกิดมายังไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน นอกจากชายกลุ่มนี้ทำการไม่สำเร็จแล้วจึงกุเรื่องนี้มาอ้างให้เฟยหลิงฟัง เฟยหลิงกำลังจะสั่งลงโทษพวกเขา อยู่ๆชายสองคนที่นั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าเฟยหลิงนั้น เริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ไหวแล้ว ผลที่พวกเขาโดนสุนัขของสองสามีภรรยาคู่นั้นกัดเมื่อคืนนี้ มันทำให้ร่างกายของพวกเขามีไข้ขึ้นสูงมาก และสุดท้ายทั้งสองคนก็ทนพิษไข้ไม่ไหวจึงล้มลงไปตรงหน้าเฟยหลิง
"ว้าย!!! นี่พวกเจ้ารีบมาเอาสองคนนี้ออกไปจากตรงนี้เร็วเข้า หากข้าติดไข้จากพวกมันขึ้นมาแล้วใครจะรับผิดชอบ" กลุ่มชายชุดดำสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงออกมาช่วยพยุงคนป่วยทั้งสองคน ที่มีหน้าซีดเซียวมากพากลับไปที่ห้องพักเพื่อทำการรักษาตัว เฟยหลิงตอนนี้โมโหมากยิ่งนัก งานที่มอบหมายให้ไปทำก็พากันทำไม่สำเร็จ แถมยังปล่อยให้ตัวเองโดนทำร้ายกลับมาเช่นนี้อีก ไม่มีใครได้ดั่งใจนางเลยสักคน
ณ หมู่บ้านอันชัง "ท่านป้าเจ้าค่ะ ช่วงนี้ท่านป้าว่างหรือไม่ พอดีว่าอาทิตย์หน้าผักของข้ามันน่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ข้าจึงอยากให้ท่านป้ากับท่านลุงมาช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าค่ะ" หลิวฟางเหนียงเอ่ยชวนท่านป้า "ได้สิ ช่วงนี้ข้ากับท่านลุงของเจ้าก็ว่างกันอยู่" ปกติแล้วหากท่านลุงและท่านป้าไม่ได้ทำนา ท่านทั้งสองจะออกไปหารับจ้างดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ "เช่นนั้นข้ารบกวนท่านลุงกับท่านป้าด้วยนะเจ้าค่ะ" เวลานี้นางไว้ใจใครไม่ได้จริงๆ จึงได้แต่ขอให้ท่านลุงกับท่านป้าช่วยนางก่อน หลังจากที่นางส่งท่านป้ากลับบ้านแล้วเจิ้งเจี๋ยก็กลับมาจากตัวอำเภอพอดี แล้วได้เล่าถึงเรื่องของวันนี้ที่เขาไปสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นมา ได้ความว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงคนนั้นมีชื่อว่า ซูเฟยหลิง เป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลซูมีท่านพ่อชื่อว่า ซูลีหมิง ที่เป็นพ่อค้าในระดับต้นๆของอำเภอซีอาน แต่ซูลีหมิงผู้นี้ท่านพ่อของเจิ้งเจี๋ยเคยเล่าให้ฟังว่า เป็นพ่อค้าหน้าเลือด ไม่ซื่อตรง ซูลีหมิงมักชอบเอาเปรียบพ่อค้าที่ร่วมทำการค้าด้วยกันกับเขาและมักเอาเปรียบชาวบ้านที่เอาผักมาขายให้เขาอีกด้วย ซูลีหมิงจะรับซื้อผักจากหมู่บ้านต่างๆในอำเภอซีอาน แต่ผักที่เขารับซื้อนั้นจะให้ราคาที่ต่ำ แต่เอาไปขายต่อในราคาที่สูงมาก ชาวบ้านบางคนก็ไม่อยากจะขายผักให้กับเขาแล้ว แต่ต้องจำใจขาย เพราะถึงจะได้กำไรน้อยมากแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีรายได้เข้าในครอบครัวเลย
ฟางเหนียงที่ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็รู้สึกไม่ชอบยัยคุณหนูผู้นั้นมากกว่าเดิม คงจะถูกครอบครัวตามใจมาตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเช่นนี้ ในเมื่อนางรู้แล้วว่าใครเป็นผู้บงการเรื่องทำลายสวนผักนาง ก็ไม่อยากเสวนาเรื่องนี้อีก นางจึงเปลี่ยนเรื่องคุยกับเจิ้งเจี๋ย "แล้วเรื่องรถม้าล่ะ เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วรึ" เจิ้งเจี๋ยพยักหน้าตอบ "เถ้าแก่ร้านไม้บอกว่าอีก 5 วันให้ไปรับได้เลย ส่วนม้าทั้ง 2 ตัวนั้นข้าฝากเลี้ยงไว้ที่โรงขายม้า ข้าว่าจะทำคอกให้มันเสร็จก่อนแล้วค่อยเอากลับมาบ้าน"
หลังจากนั้นเจิ้งเจี๋ยกับฟางเหนียงก็ได้ออกไปโรยผงไฟเพิ่ม จากที่เคยทำร่องที่ปลอดภัยไว้เดิน ตอนนี้ทั้งสองได้โรงผงไฟเพิ่มไปแล้ว ทางเข้า-ออกมีทางเดียวในยามนี้ก็คือประตูหน้าบ้านของนางเท่านั้น หากใครคิดจะเข้ามาทำลายสวนผักของนางรอบนี้ไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน เจิ้งเจี๋ยเห็นมะเขือเทศที่เสียหายไปนั้นก็รู้สึกเสียดายมากนัก กองนี้มันสามารถทำเงินให้เขาถึง 5 ตำลึงทองเชียวนะ จะไม่ให้เขาโมโหไอ้พวกนั้นได้อย่างไรกัน หลังจากโรยผงไฟเสร็จแล้วเจิ้งเจี๋ยและฟางเหนียงก็ช่วยกันรดน้ำสวนผักต่อ เพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สาวโก๊ะทะลุมิติ มาใช้ชีวิตในยุคโบราณ