สักวารัก อาบแผ่นดิน นิยาย บท 10

ซวงสี่พลันตะลึงไป “จวิ้นจู่ พวกเราไปทำอันใดที่เรือนจิ่นโป๋หรือเจ้าคะ? นั่นเป็นลานสนามที่ท่านอ๋องอาศัยอยู่นะเจ้าคะ!”

เมื่อตอนกลางวันท่านอ๋องเกือบบีบคอจวิ้นจู่ตาย

หรือว่ายังไม่ทันใดจวิ้นจู่ก็ลืมไปแล้ว? !

เฟิ่งหมิงซีเอ่ยเย็นชา “ไปกับข้าก็พอแล้ว!”

เรือนจิ่นโป๋ มู่หรงเซียวกำลังทานอาหารอยู่ที่นั่นพอดี

“หวางเฟยโปรดรอก่อน!”

“หลีกไป ข้าจะพบมู่หรงเซียว!”

ครั้นเห็นหญิงสาวบุกเข้ามาไม่สนการหยุดยั้ง สีหน้าเขาก็พลันเย็นชา “ใครให้เจ้าออกมา!ที่สั่งสอนไปวันนี้ยังไม่พอใช่ไหม? !”

“มู่หรงเซียว เราเข้าวังหลวงไปพบไท่ว่างหวงเสียตอนนี้เลย ไปอธิบายให้แน่ชัดเสีย เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาล่วงเกินข้าเช่นนี้?” เฟิ่งหมิงซียืนเอ่ยอย่างโมโหอยู่ที่ศาลาบุปผา

แววตามู่หรงเซียวดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย “ข้าไปล่วงเกินเจ้าเมื่อไหร่กัน? หากมิใช่เจ้าเป็นฝ่ายยั่วยุข้าก่อน ข้าจะไปลงไม้ลงมือได้อย่างไร?”

“ไท่ว่างหวงพระวรกายอ่อนกำลัง เสด็จพ่อไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดไปรบกวนพระองค์ หากว่าเจ้ามิเกรงเสด็จพ่อลงทัณฑ์ ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า”

เฟิ่งหมิงซีนั่งลงตรงหน้าเขา แล้วส่งสัญญาณให้ซวงสี่ยกอาหารเย็นชืดเน่าบูดจานนั้นมา เอ่ยขึ้น “นี่มิใช่ท่านจงใจหรือ?”

อาหารจานนั้นพอยกขึ้นมาก็พลันส่งกลิ่นบูดเน่าขึ้น

มู่หรงเซียวขมวดคิ้ว พลันเข้าใจขึ้นทันที “ไปเชิญพ่อครัวใหญ่มา”

จี๋เฟิงแอบปาดเหงื่อ มองไปที่เฟิ่งหมิงซีแล้วรีบวิ่งไปทันใด

เฟิ่งหมิงซีรู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว พอมองเห็นอาหารเต็มโต๊ะ ก็อดใจไม่ไหวรีบหยิบตะเกียบขึ้นมากินทันที

“ใครอนุญาตให้เจ้านั่งลง? รีบออกไปซะ!”

มู่หรงเซียวหน้านิ่วคิ้วขมวด แทบอยากจับสตรีผู้นี้โยนออกไปเสีย

เฟิ่งหมิงซีเอ่ยอย่างมิเกรงใจ “ใครใช้ให้คนในจวนเจ้าส่งอาหารเน่าเสียมาให้ข้ากันเล่า ข้าเป็นถึงเลี่ยหวางเฟย ตราบใดที่ท่านยังไม่หย่ากับข้า ข้าก็ยังเป็นอยู่วันยังค่ำ เป็นถึงเลี่ยหวางเฟย แต่กลับได้กินของเยี่ยงอาหารสุนัข เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าจะไปฟ้องร้องเสียวันพรุ่งเลย ฟ้องร้องท่านล่วงเกินสตรี กระชากหน้ากากคนหน้าเนื้อใจเสือเยี่ยงท่านเสีย”

“……”

มู่หรงเซียววันนี้ถูกนางทำให้โกรธเคืองมากพอแล้ว พอครั้นเห็นนางจึงอดโมโหไม่ได้ เขาทุบลงที่โต๊ะอย่างแรงไปหนึ่งที “ข้าหาได้ไร้สาระเช่นเจ้า หากใคร่ล่วงเกินเจ้า ก็จักดูก่อนว่าเจ้ามีคุณสมบัตินั้นหรือไม่!”

เฟิ่งหมิงซีรีบกินเข้าอีกสองคำ แล้วฉีกขาไก่ยื่นให้ซวงสี่ขาหนึ่ง

“โอ้ ใช่สิ วันนี้ที่ท่านบีบคอข้า นั่นไม่เรียกว่าล่วงเกิน แต่นั่นคือการฆาตกรรมภรรยาตนต่างหาก ท่านต้องการฆ่าข้า เพื่อยกเอาเสิ่นชิวเยว่มาแทนที่”

“โอ้ น่าเสียดายจริง เสิ่นชิวเยว่กำลังจะแต่งกับอานอ๋องไปเสียแล้ว”

“พอถึงครานั้น ท่านยังต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้สามอีก”

เมื่อกินไปคำหนึ่ง นางก็พลางทาเกลือลงบนแผลเขาไปด้วย

“เฟิ่ง หมิง ซี!”

ชายหนุ่มโมโหเสียจนเส้นเลือดกระตุก น่าตกใจ

เฟิ่งหมิงซีรีบหยิบเอาจานไก่บนโต๊ะ แล้วยืนขึ้น เอ่ยสบประมาท “งั้นข้าไม่รบกวนท่านอ๋องเปิบสำรับแล้วนะเจ้าคะ”

ซวงสี่ที่ยืนถือจานไก่อยู่พลันตัวสั่นระริก “จวิ้น..... จวิ้นจู่....?”

นางหญิงหัวขบถผิดประเพณี!

“หยุดนะ!”

“ข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ?” ใบหน้าสง่างามเขาเต็มไปด้วยขุ่นแค้น ดูไร้ซึ่งความหล่อเหลาเลยแม้แต่น้อย

เฟิ่งหมิงซีหาได้คิดจะไป นางมาเพื่อยืมมือชายต่ำทรามผู้จัดการกับเหล่าบ่าวไพร่ แล้วแอบนั่งกินขาไก่อยู่อีกด้าน ไม่ใคร่อยากแยแสเขา

มู่หรงเซียวขมวดคิ้ว นึกอยากโยนตัวนางออกไปเสีย แต่ครั้นพอเห็นรอยฟกช้ำบนลำคอนาง ก็พลันคลายความนึกคิด สตรีนางนี้หาได้หวั่นกลัวความตายไม่

มิเช่นนั้นจะกล้ามายั่วโมโหเขาเสียที่ไหน?

ขณะเดียวกันจี๋เฟิงก็พาเอาหัวหน้าคนครัวโจวมามาเข้ามา

โจวมามาครั้นเห็นของบนโต๊ะ สีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน แล้วมองดูเฟิ่งหมิงซีที่นั่งกินขาไก่อยู่บนเก้าอี้ก็ตกใจเสียรีบคุกเข่าลงอย่างเกรงกลัว เอ่ย “บ่าวคารวะท่านอ๋อง....”

“เจ้าส่งอาหารอันใดไปเรือนซิงเยว่?”มู่หรงเซียวเอ่ยถามเย็นชา

โจวมามาตัวสั่นไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจความหมายของท่านอ๋อง จึงเอ่ยตะกุกตะกัก “ทูลท่านอ๋อง คืนวานท่านบอกจวนอ๋องไม่มีหวางเฟย นางเฟิ่งยั่วยวนบ่าวไพร่ไร้ยางอายถูกลดขั้นเป็นนางบำเรอ?ปลดถอนเกียรติยศและความโปรดปรานของนาง?”

เฟิ่งหมิงซีขมวดคิ้วมองมู่หรงเซียว กลั้นยิ้มไม่อยู่เอ่ยตอบ “ที่แท้นางบำเรอของท่านอ๋องได้รับการปฏิบัติเช่นนี้หรือ? มิน่าล่ะจึงมิมีผู้ใดใคร่เป็นนางบำเรอให้ท่าน”

“แม้แต่บ่าวไพร่ชั้นต่ำในจวน แต่ละวันก็ยังมีเนื้อมีผักให้กิน!”

“นางบำเรอท่านอ๋องกลับได้กินแต่ของบูดๆ เน่าๆ หรือ? แย่เสียยิ่งกว่าบ่าวไพร่คนหนึ่งอีกหรือ? เช่นนั้นท่านอ๋องก็ให้บ่าวไพร่ขึ้นเตียงให้เสียสิ!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สักวารัก อาบแผ่นดิน