บทที่ 190 ความจริง
มู่จื่ออี้เห็นเย้นหว่านถูกอุ้มไป จึงขมวดคิ้วขึ้น เขาสังเกตเห็นท่าทางดิ้นรนของเย้นหว่าน รวมถึงสีหน้าไม่พอใจของเธอด้วย
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เต็มใจ เขาจะปล่อยให้เธอถูกโห้หลีเฉินอุ้มไปได้ยังไง
มู่จื่ออี้สีหน้าเคร่งขรึม รีบเดินตามไป แต่เพิ่งเดินไปได้สองก้าว เว่ยชีก็เข้ามาขวางไว้ซะก่อน
“คุณชายมู่ครับ คุณเย้นเป็นคู่หมั้นของเจ้านายผม ขอให้คุณรักษาระยะห่างกับเธอไว้ด้วย”
“ถอยไป”
มู่จื่ออี้พูดขึ้นเสียง บรรยากาศรอบตัวดูหยิ่งผยอง ไม่เหมือนมู่จื่ออี้คนเดิมที่สดใสร่าเริง
เว่ยชีทำงานกับโห้หลีเฉินมานาน จึงคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ดี ทำให้ไม่รู้สึกตกใจกับท่าทางของมู่จื่ออี้
เขายังคงพูดด้วสีหน้านิ่งเฉย “คุณชายมู่ครับ ช่วยคิดถึงฐานะของคุณด้วย อีกอย่าง คุณโห้กับคุณเย้นเป็นคู่หมั้นกัน ทั้งสองคนต้องการเวลาคุยกันแบบส่วนตัว คุณยังคิดจะไปเป็นก้างขวางคออีกเหรอครับ”
เป็นก้างขวางคออย่างนั้นเหรอ
มู่จื่ออี้ชะงักไป เขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเย้นหว่านกับโห้หลีเฉินดี ว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหก ดังนั้นเขาถึงได้มีสิทธิ์ที่จะจีบเย้นหว่าน
เขาขมวดคิ้ว แต่กลับได้ยินเว่ยชีพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อตะกี้ ที่คุณเย้นออกมายืนบังคุณไว้ ก็แสดงว่าเธอไม่ต้องการให้คุณเข้ามาพัวพันเรื่องของเธอกับคุณโห้ คุณชายมู่ คุณเป็นคนฉลาด น่าจะเข้าใจว่าอะไรควรอะไรไม่ควร จริงไหมครับ”
ร่างกายของมู่จื่ออี้นิ่งเกร็ง คิ้วขมวดกันจนเป็นปม
ด้วยฐานะของเขา เขาไม่รู้สึกกลัวโห้หลีเฉินแม้แต่น้อย แต่เมื่อตะกี้ตอนที่เขากำลังต่อปากต่อคำกับโห้หลีเฉินอยู่ เย้นหว่านกลับเดินมาขวางเขาไว้
เธอไม่อยากให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเธอ หรือว่าเป็นห่วงว่าเขาจะโดนโห้หลีเฉินทำร้านกันแน่
แต่ไม่ว่าจะเป็นคำตอบไหน เย้นหว่านก็จงใจแยกเขาออกไปอยู่ดี
ถึงแม้จะไม่ยินยอมที่โดนโห้หลีเฉินพาตัวไป แต่เธอก็ไม่คิดจะหันมาขอความช่วยเหลือจากเขาเลย
มู่จื่ออี้รู้สึกเหมือนโดนก้อนหินขนาดใหญ่ที่น้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมทับลงมาที่หัวใจ เขายืนมองโห้หลีเฉินอุ้มเย้นหว่านเดินจากไป และไม่เดินตามไปอีก
ภายใต้สายตาของทุกคนในงาน โห้หลีเฉินอุ้มเย้นหว่านไว้ แล้วเดินตรงไปบริเวณโต๊ะพักผ่อนในงาน
เขาวางเธอลงบนโซฟา ก่อนจะใช้ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงไปหา
กลิ่นกายของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เหลือระยะห่างแค่นิดเดียว
เย้นหว่านตื่นตกใจ จ้องหน้าเขาอย่างระวังตัว และเริ่มทำตัวไม่ถูก
เพราะว่าที่นี่เป็นที่สาธารณะ ยังมีสายตาอีกหลายคู่ที่กำลังจ้องมองอยู่ โห้หลีเฉินคิดจะทำอะไรของเขากันแน่
“คุณโห้ คุณ คุณอย่าเข้ามาใกล้ถึงขนาดนี้นะ”
เธอยกมือขึ้น พยายามผลักโห้หลีเฉินออกห่าง แต่ร่างกายของเขาเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
โห้หลีเฉินมองหน้าเย้นหว่านอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาลึกลับและอันตรายมาก
“ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”
ดีขึ้นบ้างหรือยังอะไรของเขา
เย้นหว่านมึนงง เธอนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะนึกขึ้นได้ ที่เขาพูดคงหมายถึงเรื่องที่เธอบอกว่าตัวเองไม่สบาย แต่ที่เธอพูดก็แค่พูดประชดเท่านั้นเอง
เย้นหว่านทำตัวไม่ถูกพอเห็นโห้หลีเฉินอยู่ใกล้ขนาดนี้ เธอจึงรีบพยักหน้าตอบ “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
“งั้นก็ดี”
โห้หลีเฉินแววตาเจ้าเล่ห์แฝงรอยยิ้ม ก่อนจะถอยออกมา
พอโห้หลีเฉินถอยห่างออกไป แสงไฟก็ส่องลงมาบนร่างของเย้นหว่าน เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก เหมือนตัวเองได้รับอิสรภาพสักที
แต่เธอยังไม่ทันได้สัมผัสถึงอิสระ ก็รู้สึกว่าโซฟาด้านข้างยับตัวลงไป
เธอเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นว่าโห้หลีเฉินนั่งลงข้างๆเธออย่างสบายอารมณ์ เขาอ้าแขนหนึ่งข้างขึ้น ทำท่าจะโอบกอดเธอ
นี่มันในงานเลี้ยงนะ มีสายตาตั้งหลายคู่กำลังมองพวกเธออยู่ แต่โห้หลีเฉินกลับทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้านของตัวเอง อยากกอดก็กอด น่าอายจริงๆ อีกทั้งมู่หรุงชิ่นของเขาก็ยังยืนอยู่ที่นี่ด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
อืดอาด มีเรื่องคู่นั้นคู่นี้แทรกมาตลอด แล้วยังออกทะเลไปไม่รู้กี่รอบ วนอยู่แต่กับความโง่ของนางเอกและความปิดปังเพราะรักของพระเอก เฮ้อ ทนอ่านมาเพราะอยากรู้ตอนจบ แต่หงุดหงิกมาก...
ฝึกฝนตัวเองหาทางช่วยสามีมันก็ดี แต่ถึงขนาดทิ้งลูกให้คนอื่นดูแลนี่ไม่ไหว เลี้ยงเด็กยังไงให้เป็นแบบนี้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมเป็นภาระ ใช้ชีวิตโง่ ๆ มีศัตรูอยู่ แต่ไม่พาการ็ดไปด้วย พอลูกมีปัญหาที่รร. แทนที่จะเรียกสามี มาช่วยตั้งแต่แรก เสือกจะสู้เอง...
นางเอกอ้อนแอแถมโง่ แต่ก็ไม่ฟังพระเอก เสือกวิ่งไปวิ่งมาให้ถูกคนทำร้าย อ่านแล้วรำคาญ...
นางเอกโง่เง่าไม่มีการพัฒนา...
ทำไมไม่บอกพระเอกแล้วให้จัดการกับนังนั่น...
โอน่อหยาก็รู้นี่นาว่านางเอกเป็นคู่หมั้นประธาน ทำไมยังกล้าใส่ร้ายหรือแปลกใจว่านางเอกยังมีคนหนุน...
เนื้อเรื่องยืดยาวววน่าเบื่อมาก วนไปมาไม่เข้าเรื่องสักทีอ่านจนไม่อยากอ่านต่อน่าเบื่อเกิน ไม่เข้าเรื่องพระเอกกับนางเอกสักที วนอยู่ที่เดิมจนไม่น่าติดตามเพราะน่าเบื่อ...